
‘ขุนคลัง’ ลั่นเดินเครื่องศึกษาตั้ง Thai ESG กองที่ 2 รองรับLTF 1.8 แสนล้านบาท ยันเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด คาดชัดเจนไม่เกิน ก.ย. 2568 พร้อมลุยศึกษาขาย Tokenization Bond ผ่านระบบ Sand Box วงเงิน 5,000 ล้านบาท ฟุ้งขายผ่านแพลตฟอร์ม หนุนรายย่อยซื้อง่ายขายคล่อง แจงทบทวนกฎหมายจูงใจนักลงทุนหอบเงินกลับประเทศง่ายขึ้น
13 ก.พ. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลั เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดตั้งกองทุน Thai ESG กองที่ 2 เพื่อรองรับหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่กำลังจะครบกำหนด วงเงินราว 180,000 ล้านบาท โดยขณะนี้หน่วยงานกำลังเร่งพิจารณาขั้นตอน และกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด คาดว่าจะมีความชัดเจนไม่เกินเดือน ก.ย. 2568
ทั้งนี้ เบื้องต้นกองทุน Thai ESG กองใหม่นี้ อาจจะมีอายุ 5 ปีบวกลบ ส่วนกระบวนการ และวิธีการโอนหน่วยลงทุนว่าจะดำเนินการอย่างไร ยังต้องขอพิจารณารายละเอียดในข้อกฎหมายก่อน
“หลักคิด คือ ปกตินักลงทุนจะมอง 2 เรื่อง คือผลประโยชน์ด้านภาษี และผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อขายหน่วยลงทุน แต่วันนี้ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวลดลงพอสมควร สะท้อนว่านักลงทุนที่ถือ LTF จะยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่ แต่อาจจะขาดทุนจากการขายหน่วยลงทุน ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงจะเปิดกองทุน Thai ESG ขึ้นมาอีกกองทุนหนึ่ง แปลว่า นักลงทุนจะยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่ และยังสามารถชะลอการขายหน่วยลงทุนได้ เพื่อให้มีเวลาในการเลือกว่าจะลงทุนอะไร ซึ่งการลงทุนก็จะอิงบริษัทที่มีการลงทุนใน ESG ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาออก Tokenization Bond ซึ่งจะเป็นการซื้อขายเปลี่ยนมือผ่านแพลตฟอร์ม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุัน โดยหลักคิดของการออก Tokenization Bond เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการกู้เงินตามปกติของรัฐบาล เพื่อใช้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และรีไฟแนนซ์หนี้เก่า ซึ่งที่ผ่านมาการออกพันธบัตรของรัฐบาลจะขายให้แก่นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ และบุคคลทั่วไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีฐานะดี ซึ่งมักจะซื้อแล้วนำไปเก็บไว้ ไม่ได้ทำอะไร
แต่สำหรับ Tokenization Bond จะใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการขายผ่านแพลตฟอร์มให้กับนักลงทุนที่ไม่จำเป็นต้องมีเงินมาก ไม่ต้องฐานะดี สามารถมาซื้อเพื่อลงทุนได้ หรือซื้อขายเปลี่ยนมือผ่านแพลตฟอร์มนั้นเลย โดยเชื่อว่าต้นทุนในการดำเนินการเรื่องนี้ไม่ได้สูงมาก เพราะปัจจุบันมีแพลตฟอร์มจำนวนมากรองรับ และปัจจุบันภาคเอกชนก็มีการดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้ว” นายพิชัย ระบุ
โดยเบื้องต้นคาดว่าจะทดลองระบบจำหน่าย Tokenization Bondเป็น Sand Box วงเงินราว 5,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะมีการประเมินทิศทางตลาดและการตอบรับว่าเป็นอย่างไรต่อไป ส่วนรายละเอียดนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และจะต้องมีการสรุปวิธีการ ขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมด และรายงานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณา
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนแก้ไขกฎหมายเพื่อจูงใจให้นักลงทุนไทยที่นำเงินไปลงทุนประกอบกิจการในต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้น สามารถนำเงินรายได้ หรือกำไรกลับเข้ามาในประเทศอย่างสะดวกมากขึ้น แต่ยังไม่อยากให้นำไปพูดว่าการแก้ไขครั้งนี้เพื่อให้ผู้ที่นำเงินกลับเข้ามาในประเทศไม่ต้องเสียภาษีเลย เพียงแค่อยากทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรให้มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น
“ปัจจุบันมีคนนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศเยอะมาก แต่ยังไม่ยอมนำกลับเข้ามาในประเทศ ซึ่งก่อนหน้านั้นไทยได้เคยมีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้ไปแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของ OECD คือความเสมอภาคกันทั้งโลกในการเสียภาษี แต่ที่ผ่านมาด้วยมาตรการหรือประกาศของบางรัฐบาลที่ว่าเรื่องนี้เอา เรื่องนี้ไม่เอา ทำให้หลายเรื่องไม่สอดคล้องกันจนเกิดเป็นผลเสีย จึงจำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องนี้กลับมาทบทวนอีกครั้งว่าเราจะเดินหน้าอย่างไร หรือจะทำอย่างไร แต่ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ใช่การยกเว้นภาษีจากการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศแน่นอน เป็นแค่การทบทวนว่าจะทำอย่างไรให้นำเงินกลับเข้ามาง่ายขึ้นเท่านั้น” นายพิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อึ้ง! ขุนคลังตีมึนปมใช้ตั๋วP/N เลี่ยงภาษี
'พิชัย' ขอไปดูรายละเอียดก่อน ปมมาตรการใช้ตั๋ว PN เลี่ยงภาษี ย้อนถาม ปชช.จะใช้โมเดลนายกฯเลี่ยงได้อย่างไร