
SCG สรุปรายได้ทั้งปี 67 ที่ 5.11 แสนล้านบาท ปลื้มคงกระแสเงินสดได้ 53,946 ล้านบาท พร้อมบริหารงานมั่นคงลดหนี้สินเหลือ 1.6 หมื่นล้าน จ่อเทงบปี 68 ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท จับตามาตรการทรัมป์กดดันการค้าทั่วโลก
30 ม.ค. 2568 – นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่าปี 2567 บริษัทมีกำไร 6,342 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 76% มีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2% ขณะที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) 53,946 ล้านบาท ระดับเดียวกับปี 2566 จากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนต่อเนื่อง เร่งส่งมอบนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง
โดยบริษัทได้ดำเนินมาตรการปรับตัว รับมือเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน มีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งควบคุมเงินลงทุน (CAPEX) เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว ส่งผลให้หนี้สินสุทธิลดลง 16,777 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน อัตราหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.7 เท่า สถานะทางการเงินยังมั่นคงและแข็งแกร่ง มีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 53,331 ล้านบาท
“ปี 2568 ตั้งเป้าเงินลงทุนไว้ที่ 30,000-35,000 ล้านบาท แต่ก็ต้องจับตาปัจจัยต่าง ๆ เพราะถือเป็นปีแห่งความผันผวนจากผลพวงของนโยบายทรัมป์ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลก แต่ในแง่บวกมองว่าจากนโยบายที่ทรัมป์ประกาศเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง ย่อมส่งผลดีต่อต้นทุนธุรกิจปิโตรเคมีคอลลดลงด้วย เป็นผลดีต่ออัตรากำไร (Margin) ของธุรกิจ ประกอบกับปีนี้การเบิกจ่ายภาครัฐมีความรวดเร็วต่อเนื่องจึงส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ ซึ่ง SCG มั่นใจว่า จะมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ๆ ส่งผลให้สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่งเท่ากับปีที่ผ่านมา”นายธรรมศักดิ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ยังมองเห็นโอกาสของผูัประกอบการไทยในการเข้าทำการตลาดในประเทศที่จีนค้าขายไม่ได้ หลังจีนถูกมาตรการภาษีกีดกันการค้าจากสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังมีความเป็นห่วงธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกของจีนเข้ามาทุ่มตลาดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ใช้แรงงานจำนวนมาก หากไม่ปรับตัว ไทยจะสูญเสียฐานการจ้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ของประเทศ ไม่เพียงแค่เอสเอ็มอีต้องปรับตัวเท่านั้น ภาครัฐและเอกชนรายใหญ่ต้องร่วมมือกันให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ด้วย
นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่าปีนี้ต้องติดตามการดำเนินนโยบายปรับลดราคาน้ำมันของทรัมป์ หลังตรุษจีนว่าจะลงได้เร็วแค่ไหน โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน สวนทางกับนโยบายการขึ้นภาษีที่จะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าในสหรัฐปรับขึ้น แต่ถ้าสหรัฐดึงราคาน้ำมันลง จะสมดุลกับภาษีที่ปรับขึ้นได้ ดังนั้นมองราคาน้ำม้นตลาดโลกขาลงแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ได้เร่งลงทุนโครงการ LSP เป็นสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนอีก 1 ล้านตัน/ปี ระยะเวลา 15 ปี วงเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดการใช้งบได้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมตั้งงบไว้ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้บริษัทจะคุ้มทุนเร็วขึ้น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยจะเช่าเรือขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ และจะเร่งจัดหารือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงานให้พร้อมรับก๊าซอีเทนในปี 2570