'สรรพากร' โหมโรง Easy E-Receipt 2.0 ลดหย่อนสูงสุด 5 หมื่นบาท เริ่ม 16 ม.ค. นี้

‘สรรพากร’ โหมโรงมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันเม็ดเงินหมุนเข้าระบบกระหึ่ม ชงลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายได้สูงสุดไม่เกิน 5 หมื่นบาท ดีเดย์ 16 ม.ค.-28 ก.พ. นี้

13 ม.ค. 2568 – นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 เป็นมาตรการต่อยอดจากมาตรการเดิมที่ประสบความสำเร็จในปี 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของประชาชน รวมถึงส่งเสริมการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งภายใต้มาตรการนี้ ผู้เสียภาษีสามารถลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริงได้ สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 2568

ทั้งนี้ แบ่งออกเป็น 1. ลดหย่อนสูงสุด 30,000 บาท สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) และ 2. ลดหย่อนเพิ่มเติมอีก 20,000 บาท (ต้องใช้หลักฐาน e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เช่นกัน) สำหรับค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP), ค่าซื้อสินค้าหรือบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจชุมชน และค่าซื้อสินค้าหรือบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคม

สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการสำหรับซื้อสินค้า OTOP, สินค้าหรือบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจชุมชน และสินค้าหรือบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อน 30,000 บาทได้เช่นกัน โดย e-Tax InVoice และ e-Receipt ต้องระบุชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขบัตรประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ

“มาตรการนี้นอกจากจะช่วยลดภาระภาษีให้กับประชาชนแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยคาดว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมาก” นายปิ่นสาย กล่าว

โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt จำนวน 12,395 ราย โดยมีร้านค้ารวมทั้งสิ้น 108,873 ร้านค้า แบ่งเป็น 1.e-Tax Invoice&e-Receipt จำนวน 101,297 ร้านค้า 2.e-Tax Invoice by Time Stamp จำนวน 7,576 ร้านค้า สำหรับร้านค้าที่ต้องการใช้ระบบ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt สามารถติดต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ร้านค้าตั้งอยู่

เพิ่มเพื่อน