‘ขุนคลัง’ การันตีเศรษฐกิจไทยปี 68 โตฉลุยทะลุ 3% แน่นอน ฟุ้งสัญญาณการขยายตัวเริ่มเปร่งประกาย พร้อมทบทวนมาตรการภาษีหวังเป็นมาตรการเชิงรุก-แรงจูงใจให้ภาคธุรกิจ เดินหน้าปูพรมอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานของประเทศรองรับการลงทุน
8 ม.ค. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Thailand is Ready for the Challenges” ในงานวันนักการตลาดแห่งประเทศไทย ว่า ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทย โดยมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่า 3% ซึ่งถือเป็นความท้าทาย และเป็นโอกาสจากความต่างที่จะต้องเร่งหยิบฉวยจากปัจจัยต่าง ๆ แม้ว่านักวิเคราะห์, ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ไม่เกิน 3%
ทั้งนี้ ได้เริ่มเห็นสัญญาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจแล้ว สะท้อนจากตัวเลขการบริโภคภาคเอกชน ในช่วง 3 ไตรมาสของปีที่ผ่านมา ขยายตัวถึง 5.1%, การลงทุนภาคเอกชน จากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วง 9 เดือน ของปี 2567 อยู่ที่ราว 7 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนภาครัฐ ได้มีการเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทั้งการต่อยจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ไปสู่อีอีซี, โครงการรถไฟทางคู่, โครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการท่าเหลือแหลมฉบัง เฟส3 ซึ่งถือเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องต่อยอดให้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน จากโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ตอบโจทย์ จนส่งผลให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์แพง ซึ่งกระทบกับภาคการส่งออกให้ขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันรัฐบาลยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเร่งพัฒนาเพื่อรองรับภาคธุรกิจสีเขียวอีกด้วย
“ปีนี้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเปลี่ยน หลังจากที่เราอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจเดิม ความคุ้นเคยเดิมมาตลอด รัฐบาลได้เข้ามาปรับปรุง ปรุงแต่ง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทำให้เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยในไตรมาส 4/2567 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้เกินกว่า 3% อย่างแน่นอน และเมื่อรวมทั้งปี 2567 ยังมั่นใจว่าจีดีพีของไทยจะเติบโตที่ราว 2.7-2.8% ถือเป็นก้าวที่เปลี่ยนไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 ด้วย” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ประเด็นที่ไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะถัดไป ถือภาคการส่งออกซึ่งที่ผ่านมาเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ คือ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป สะท้อนว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้ในระยะถัดไปควรได้รับการเปลี่ยนผ่าน ดังนั้นจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องมองหาจุดแข็งใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่มือผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์ตั้งแต่ต้นน้ำว่าจะส่งผ่านไปช่องทางไหน จะขายใคร และขายอย่างไร
ส่วนภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้เป็นอย่างดี และถือเป็นจุดแข็งตามธรรมชาติของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2568 ตั้งเป้าหมายมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.8 ล้านคน จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 35-36 ล้านคน แต่สิ่งที่รัฐบาลอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของภาคการท่องเที่ยว คือ การขยายผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยเที่ยวนานขึ้น และใช้เงินมากขึ้น อาจจะต้องชูเรื่องการท่องเที่ยวควบคู่กับการรักษาสุขภาพให้เป็นจุดขาย เพราะสอดคล้องกับความเข้มแข็งด้านสาธารสุขของประเทศ และพัฒนาให้กลายเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำของไทย
สำหรับอุปสรรคและความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คือ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นความเสี่ยงและความน่ากังวล เพราะเป็นการต่อสู้ของเศรษฐกิจจากประเทศมหาอำนาจ ที่ส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิต ซึ่งไทยควรหยิบฉวยโอกาสตรงนี้ รวมถึงต้องเร่งเพิ่มทักษะของแรงงาน เพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่ แพลตฟอร์มใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ โดยเฉพาะเรื่องคลาวน์ และดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไทยจะต้องพยายามพัฒนาเพื่อให้กลายเป็นฮัปของเรื่องนี้ในภูมิภาคอาเซียน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนน รวมถึงต้องมองหาโอกาสจากตลาดใหม่ ๆ อย่างอิเดีย จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปและเหมาะสมกับบริบทของอิเดียมากขึ้น จนทำให้กลายเป็นทั้งผู้คิด ผู้ผลิตและผู้ส่งออก ซึ่งไทยจะต้องไปดูว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ตลอดจนความท้าทายจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่แม้จะมีคำถามว่าอีวีจะไปได้เร็วและสุดทางหรือไม่ ซึ่งท้ายที่สุดหากอีวียังไปได้ ไทยจะต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้กลายเป็นฐานการผลิตอีวีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลัง คือ การเป็นคู่คิดและเป็นหุ้นส่วนของภาคธุรกิจสู่อนาคต ต้องคิดในสิ่งที่เป็นไปได้ สร้างแรงจูงใจและหามาตรการเชิงรุก โดยยอมรับว่ากระทรวงการคลังจะต้องมีการทบทวนระบบภาษีทั้งหมดว่าอะไรจะเป็นมาตรการจูใจและเป็นมาตรการเชิงรุก เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน สนับสนุนแหล่งเงินลงทุน โดยเฉพาะรายย่อย สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านการใช้เงินนอกงบประมาณ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน การรักษาวินัยการเงินการคลัง ตลอดจนการใช้และหารายได้ของภาครัฐจะต้องสอดคล้องกัน การขาดดุลการคลังใระดับที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับ สัดส่วนหนี้สาธารณะจะต้องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และลดลงได้ในเวลาอันใกล้
“รัฐบาลพร้อมรับฟังและติดตาม พร้อมทั้งเป็นแรงส่งในทุกมิติให้กับภาคธุรกิจ โดยรัฐบาลและประชาชน ต้องจับมือไปด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลมั่นใจว่าเศรษฐกิจปีนี้จะดีแน่นอน ถ้าเรามั่นใจและทำให้ดี เพราะไทยมีศักยภาพสูง โลเคชั่นดี มีทรัพยากร” นายพิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ขุนคลัง' ลุยฟื้นชีพรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
'พิชัย' ยันเดินหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คาดแก้สัญญาผ่านฉลุย ชี้เป็นโครงการสำคัญในพื้นที่ช่วยดึงการลงทุน รับมีโอกาสขยายพื้นที่เขตอีอีซีไปยังปราจีนบุรี