‘เผ่าภูมิ’ แจงคลัง-แบงก์ชาติ ต้องประสานดันเงินเฟ้อปี 68 พุ่งค่ากลางที่ 2% บี้คุมค่าบาท ต้องอยู่ในระดับเหมาะสม-ไม่ผันผวน ชี้แทรกแซงอย่างเดียวไม่เพียงพอ พร้อมยืนยันรัฐบาลไม่มีแนวคิดล้วงทุนสำรองกระตุ้นเศรษฐกิจ
25 ธ.ค. 2567 – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการกำหนดเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงิน (กรอบเงินเฟ้อ) ปี 2568 โดยยังคงเป้าหมายเงินเฟ้อขยายตัวอยู่ในกรอบ 1-3% โดยได้มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะต้องใช้กลไกในการดูแลเศรษฐกิจเพื่อช่วยทำให้เงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในค่ากลางที่ระดับ 2% ว่า เป็นเรื่องที่คลัง และ ธปท. จะต้องช่วยกัน
ทั้งนี้ ในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อนั้น นโยบายการคลังมีหน้าที่ดูว่าเศรษฐกิจฝืด หรือมีทิศทางเป็นอย่างไร และต้องเข้าไปกระตุ้นด้วยมาตรการทางการคลัง ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าภาคการคลังมีพื้นที่จำกัด ขณะที่มาตรการด้านการเงินก็ต้องพิจารณาผ่านเรื่องอัตราดอกเบี้ย เพราะมีผลกระทบโดยตรงกับอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นทั้ง 2 ขาจึงต้องทำงานร่วมกัน จะเหยียบคันเร่ง หรือเหยียบเบรกก็ต้องพิจารณาร่วมกัน
“ที่ผ่านมาการประสานระหว่างนโยบายการเงินและการคลังดีขึ้น หลังจากที่เรามีการพูดคุยกันมากขึ้น มีการจูนภาพทางเศรษฐกิจให้ตรงกันมากขึ้น ทำให้มุมมองต่อเศรษฐกิจ และการมองความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจตรงกันมากขึ้น สะท้อนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อนั้น การทำให้ค่ากลางขึ้นไปแตะที่ 2% น่าจะเป็นไปได้ เพราะยังเชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อวิ่งขยับขึ้นมาพอสมควร ขณะที่มาตรการด้านการคลังจะมีเม็ดเงินก้อนใหญ่อัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ ก็เชื่อว่าจะช่วยทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ค่อย ๆ ดีขึ้น ทั้งหมดคือความพยายามที่จะช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อวิ่งขึ้นไปแตะค่ากลาง” นายเผ่าภูมิ กล่าว
สำหรับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านมาตรการด้านการคลังนั้น รมช.การคลัง ระบุว่า การดำเนินการจะต้องพิจารณาตามภาวะเศรษฐกิจ ดูเรื่องความเหมาะสมของเวลา เนื่องจากรัฐบาลมีงบประมาณจำกัด ดังนั้นก็อาจจะต้องเปลี่ยนจากการกระตุ้นมาเป็นการรักษาโมเมนตั้มทางเศรษฐกิจ ซึ่งการดำเนินการจะต้องดูว่าช่วงไหนจะปรับ ช่วงไหนจะชะลอ ต้องดูความเหมาะสมในการใส่เม็ดเงินข้าระบบเศรษฐกิจเป็นหลัก
โดยในปี 2568 ไม่เพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต และโครงการ Easy E-Receipt แล้ว ยังมีมาตรการอื่น ๆ อีก โดยเฉพาะเรื่องการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ ๆ เช่น การมุ่งสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Thailand Financial Center) ผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่จากธุรกิจการเงินระหว่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ไม่เกินเดือน ก.พ. 2568
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ธปท. ที่จะต้องพิจารณาใน 2 เรื่องหลัก คือ 1. อัตราแลกเปลี่ยนต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับคู่ค้า และคู่แข่ง และ 2. ต้องไม่ผันผวน ฉวัดเฉวียนจนเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถวางแผนในการดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนได้ ขณะที่การเข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับการที่จะทำให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ นั่นหมายความว่าการดูแลเรื่องนี้จะต้องดูไปถึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและนโยบายทางการเงินในภาพรวม ที่จะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม
“ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนของไทยดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาพอสมควร เพราะที่ผ่านมาเคยลงไปที่ 32-33 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ตอนนั้นถือว่าแย่เลย อยู่ในจุดที่มีปัญหา แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น ส่วนถามว่าจะดีขึ้นจนอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เลยหรือไม่ คงพูดวันนี้ไม่ถูก เพราะต้องดูไดนามิกของปัจจัยต่าง ๆ ประกอบด้วยว่าในขณะนั้นอัตราแลกเปลี่ยนควรจะอยู่ที่ระดับไหน” นายเผ่าภูมิ กล่าว
อย่างไรก็ดี กรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลเตรียมจะล้วงทุนสำรองของประเทศออกมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น รมช.การคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยมีแนวคิดที่จะนำทุนสำรองของประเทศออกมาใช้ เรื่องนี้ยังไม่เคยมีการพิจารณา ไม่เคยมีการหารือ และไม่มีแนวคิดอย่างแน่นอน