‘ไทยออยล์’ ลุย CFP ต่อ เทเงินลงทุนเพิ่มเดินหน้าโครงการ กว่า 6.3 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินสด ออกหุ้นกู้ และใช้สินเชื่อจากธนาคาร ยันไม่ต้องเพิ่มทุน ไม่กระทบปันผล
23 ธ.ค. 2567 – นายบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมงบลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการก่อสร้างขยายโรงกลั่นน้ำมันพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท สำหรับใช้ในการก่อสร้างโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเสนอขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 ก.พ. 2568
โดยบริษัทมีแผนจัดหาเงินทุนจากเงินสดคงเหลือและกระแสเงินสดจากการดําเนินงานของบริษัทในปี 2568-2570 ประมาณ 30,000 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้หรือ การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมถึงพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น การออกตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุดประมาณ 1-1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 3.7-5.55 หมื่นล้านบาท) ซึ่งบริษัทยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุนแต่อย่างใด
“บริษัทมั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมเพียงพอต่อการดําเนินโครงการให้แล้วเสร็จในปี 2571 เลื่อนออกไป 3 ปีจากแผนที่กำหนดแล้วเสร็จในปี 2568 เนื่องจากผู้รับเหมาช่วงไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลักจากบริษัท UJV ทําให้การดําเนินโครงการต้องสะดุด จนต้องปรับระยะเวลาดําเนินโครงการออกไป แต่ไทยออยล์ยืนยันจะบริหารจัดการงบประมาณส่วนเพิ่มให้ดีที่สุดด้วยความระมัดระวัง แม้อัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการปัจจุบันจะลดลงจากการประเมินในช่วงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ“นายบัณฑิต กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยืนยันจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลของบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ เนื่องจากแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมส่วนใหญ่มาจากเงินสดคงเหลือ กระแสเงินสดจากการดําเนินงาน และการกู้ยืม ดังนั้นบริษัทยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผลตามนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของกําไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสํารองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กําหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมายได้
ทั้งนี้ เมื่อโครงการเสร็จจะทําให้ไทยออยล์มีผลประกอบการดีขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ กําไรและฐานะทางการเงินของบริษัท ช่วยเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากปีหน้าผู้รับเหมาหลัก UJV ไม่สามารถทำตามสัญญาได้ ไทยออยล์จะเดินตามสิทธิ์และหาผู้รับเหมาใหม่ เพื่อรักษาประโยชน์บริษัทและผู้ถือหุ้น และยังเป็นไปตามสัญญา บริษัทจึงต้องตั้งกรอบงบไว้ที่ 6.3 หมื่นล้านบาท สำหรับใช้เงินทั้งผู้รับเหมาหลักและผู้รับเหมาช่วงต่อตามขั้นตอน หากทำได้เร็วก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตามจำนวน
ปัจจุบันไทยออยล์มีกำลังการกลั่นกว่า 275,000 บาร์เรลต่อวัน และจะขยายเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ถือเป็นผู้นำโรงกลั่นในไทยและอาเซียน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม