“เอ็กซิมแบงก์” เคาะจีดีพี-ส่งออกไทยปี 68 โตแน่ 3% ท่องเที่ยวฟื้นเต็มสูบ ปักธงเดินหน้าบทบาท Green Development Bank นำทัพผู้ประกอบการไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมกางผลงานหนี้เสียลด 1.2% มั่นใจสิ้นปีกำไรสุทธิสูงกว่า 1 พันล้าน
17 ธ.ค. 2567 – นายรักษ์ วรกิจโภคาธร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ กล่าวว่า ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 3% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ขณะที่การส่งออกของไทย จะขยายตัวได้ 3% โดยสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไล์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ส่วนการท่องเที่ยวนั้น คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ราว 40 ล้านคน ใกล้เคียงกับระดับในช่วงก่อนโควิด-19
โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาในปี 2568 ได้แก่ 1.ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งให้ค่าระวาง และราคาน้ำมันผันผวน 2.ความผันผวนของค่าเงิน และ 3.สงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สำหรับเอ็กซิมแบงก์ ในปี 2568 EXIM BANK จะเป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยรุกตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในโลกการค้ายุคใหม่ ได้แก่ 1. สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร (Food for Security) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศผู้ผลิตอาหารต่อคนมากที่สุดในโลก สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป น้ำตาลทราย และซาร์ดีนกระป๋อง 2. สินค้ารักษ์โลก (Good for Planet) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ เม็ดพลาสติกชีวภาพ (Polylactic Acid : PLA) และแผงโซลาร์เซลล์ 3. สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ (Mood for Joy) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องประดับเงิน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
นอกจากนี้ สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในปี 2568 ได้แก่ สินค้าที่ได้รับผลดีจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ อาทิ สินค้าเครื่องปรับอากาศและหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้
“ในปี 2568 เอ็กซิมแบงก์จะเดินหน้าบทบาท Green Development Bank นำทัพผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและสร้างโลกที่ยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เป็น 40% พร้อมทั้งจะเปิดตัวบริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึง ESG และจะสนับสนุนธุรกิจส่งออกและลงทุนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายรักษ์ กล่าว
สำหรับการดำเนินบทบาท Green Development Bank ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2567 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 190,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.8% จาก 177,932 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลงถึง 1.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารจะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท