‘คลัง’ ยันหั่นเงินนำส่ง FIDF แลกแก้หนี้ครัวเรือน ไม่กระทบหนี้สาธารณะ-งบประมาณรัฐ ชี้ภาระจ่ายหนี้อยู่ที่ ธปท. ทั้งหมด ประเมินกระทบเวลาจ่ายหนี้ขยับเพิ่ม 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง แบกภาระจ่ายดอกเบี้ยขยับอีกราว 500 ล้านบาทต่อปี มองเป็นมาตรการคุ้มค่า อุ้มลูกหนี้ แบงก์ได้ประโยชน์ด้วย
27 พ.ย. 2567 – นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวถึงกรณีการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จาก 0.46% เหลือ 0.23% เพื่อดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องได้รับความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงสถาบันการเงิน ซึ่งการลดเงินนำส่งดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานะของกองทุน FIDF มีหนี้คงเหลืออยู่ราว 5 แสนกว่าล้านบาท ขณะที่การพิจารณาปรับลดเงินนำส่งดังกล่าวนั้น จะส่งผลให้ระยะเวลาในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นอีกราว 1 ปี ถึง1 ปีครึ่ง และคิดเป็นภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มต่อปี ราว 100 – 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ธปท. เป็นผู้รับผิดชอบภาระของกองทุน FIDF ทั้งหมด ทั้งในส่วนของเงินต้น และดอกเบี้ย มีเพียงแค่สถานะของกองทุนฯ เท่านั้นที่มาแสดงอยู่ในสัดส่วนหนี้สาธารณะ
“ตามกำหนดเดิมจะต้องชำระหนี้ของกองทุน FIDF ครบภายในปี 2575 แต่เมื่อมีการลดเงินนำส่งลง ก็น่าจะส่งผลให้ระยะเวลาในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ภาระทั้งหมดของ FIDF อยู่ที่ ธปท. ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลแต่อย่างใด ดังนั้นจึงอยากย้ำว่า ต่อให้ยืดเวลาในการจบหนี้ของ FIDF ออกไป ก็ไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใดกับรัฐบาล จะมีแค่เพียงสถานะของกองทุนฯ เท่านั้น ที่ฝากไว้ในหนี้สาธารณะ” นายพชร กล่าว
ผู้อำนวยการ สบน. กล่าวอีกว่า ส่วนตัวมองว่าแนวทางการลดเงินนำส่ง FIDF เพื่อดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น เป็นเรื่องที่ ธปท. น่าจะพิจารณาแล้วว่ามีความคุ้มค่ามาก เพราะประโยชน์ส่วนหนึ่งจะเกิดกับลูกหนี้ และอีกส่วนหนึ่งจะกลับไปที่สถาบันการเงินเอง จากลูกหนี้ที่ยังไม่กลายเป็นหนี้เสีย หากได้รับความช่วยเหลือก็มีโอกาสที่จะกลับมายืนได้ จนอาจจะสามารถกลับมาจ่ายหนี้ได้ด้วย ตรงนี้จะมีส่วนดีกับการตั้งสำรองของสถาบันการเงินในก่อนหน้านี้ และช่วยเรื่องการลดสัดส่วนหนี้เสียของสถาบันการเงินได้อีกด้วย
สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2567 อยู่ที่ 62.33% ต่อจีดีพี ต่ำกว่าระดับที่คาดการณ์ที่ 63-64% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2567 ที่จีดีพีขยายตัวถึง 3% มาจากเงินงบประมาณของปีงบ 2567 ที่ค้างท่อ และเงินงบประมาณปี 2568 ที่เริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/2567 ถึงไตรมาส 4/2567 ขณะที่ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทย จะอยู่ที่ราว 63% บวกลบเล็กน้อย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวได้สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า มาตรการช่วยเหลือและแก้ไขหนี้ครัวเรือนจะมีรายละเอียดที่ชัดเจนออกมาก่อนสิ้นปี 2567 โดยแหล่งเงินทุนที่จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ส่วนหนึ่งจะมาจากการลดเงินนำส่ง FIDF เหลือลด 0.23% และเงินส่วนหนึ่งจากธนาคารพาณิชย์เข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยยอมรับว่าการปรับลดเงินนำส่งดังกล่าวย่อมกระทบต่อการชำระหนี้ที่ล่าช้าออก โดยปกติการลดเงินนำส่ง FIDF ครึ่งหนึ่ง การชำระหนี้จะขยับไปครึ่งปี