‘พิชัย’ กาง 3 เงื่อนไขดูดเงินลงทุนต่างชาติ ชูเร่งพัฒนาที่ดิน-พัฒนาพลังงานไฟฟ้าสีเขียว-พัฒนาทักษะแรงงาน ปูพรมภาคธุรกิจให้ความสำคัญลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว ปักธงไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
26 พ.ย. 2567 -นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “2025 Net Zero กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ Net Zero and the Challenges of The New Global Economy” ว่า ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง และดินถล่ม เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดมนุษย์เป็นผู้สร้าง หลัก ๆ เป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวกลายเป็นประเด็นของการตกลงร่วมกันกับนานาประเทศที่จะหาวิธีที่ไม่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นไปกว่านี้
ทั้งนี้ การดำเนินการได้มีการวางแผนร่วมกันกับหลายประเทศทั่วโลกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในส่วนของประเทศไทยได้ให้พันธะสัญญาว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้อย่างน้อย 30% แต่เท่าที่ประเมินดูในเบื้องต้น ไทยอาจยังไม่ได้ตระหนักถึงข้อมูลตรงนี้มากนัก สะท้อนจากระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันที่ยังคงใกล้เคียงกับในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งอาจแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงล้าหลังจากเป้าหมายเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่วางไว้
“ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ โดยต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นมาเพื่อให้เราสามารถเดินไปสู่จุดหหมายได้ และรัฐบาลยินดีที่จะสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อให้ภารกิจเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นไปตามพันธะสัญญา” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ Digital Economy หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสีเขียวมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อรองรับการดำเนินการในเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องคาร์บอนเครดิต ที่จะเป็นตัวสะท้อนสำคัญ และจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความยั่งยืน ความมั่นคงทงเศรษฐกิจ
ขณะที่ประเทศในแถบยุโรป ได้เริ่มเดินหน้ามาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด carbon leakage ตรงนี้ถือเป็นอีกปัจจัยที่ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งปรับตัว ขณะเดียวกันรัฐบาลได้พยายามปรับปรุงโครงสร้างต่าง ๆ ที่ตอบสนองและสนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รวมทั้งข้อได้เปรียบของไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค พื้นที่ของประเทศไทยที่มีจำนวนมาก รวมถึงนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบันมีเม็ดเงินลงทุนจากทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีน ได้ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“รัฐบาลได้พยายามเพื่อสนับสนุนการลงทุน ที่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวของโลกในปัจจุบัน สะท้อนจากยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 9 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 7.2 แสนล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี” นายพิชัย ระบุ
ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติยังมีความต้องการในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 3 เรื่อง ได้แก่ 1. อยากได้ที่ดินที่มีการพัฒนาแล้ว และราคาไม่แพง 2. อยากได้พลังงานไฟฟ้าสีเขียว และ 3. อยากได้แรงงานที่มีทักษะเพื่อรองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ โดยยืนยันว่ารัฐบาลยินดีที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสร้างองค์ประกอบเหล่านี้ให้ครบถ้วน
อย่างไรก็ดี มองว่าเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น คือ การที่คนไทยตระหนักว่าเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องใกล้ตัว และในภาคธุรกิจหากเร่งดำเนินการก็จะไม่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยสิ่งหนึ่งทีต้องเข้าใจคือ อะไรเป็นปัญหา โดยอยากให้มองปัญหาเป็นความท้าทายมากกว่า และอะไรเป็นโอกาส วันนี้ยังมีปัญหาก็แก้ไขปัญหาไปก่อน