‘สภาพัฒน์’ เปิดตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3/67 เศรษฐกิจไทย ขยายตัว 3% ส่วนทั้งปี67 มองขยายตัว 2.6% ขณะที่ปี 68 คาดว่าจะขยายตัว 2.3- 3.3% แนะติดตามนโยบายเศรษฐกิจ ‘ทรัมป์’
18 พ.ย.2567-นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567-2568 ว่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของไทย ขยายตัว 3% เร่งตัวขึ้นจาก 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า รวม 9 เดือนแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.3% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการผลิตภาคนอกเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามการขยายตัวของกลุ่มบริการ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัวและภาคการเกษตรปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและบริการ การอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล และการลงทุนเร่งขึ้น ขณะที่การอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอตัว
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มองว่าจะขยายตัวได้ 2.6% ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ 1.9% และในปี 2568 จะขยายตัวได้ ในกรอบ 2.3 – 3.3% โดยมีค่ากลางที่ 2.8% มาจากการเพิ่มขึ้นของการบริโภค 3% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2.8% การส่งออกขยายตัว 2.6% ขยายตัวต่อเนื่องจาก 3.8% ในปี 67 ขณะที่เงินเฟ้อคาดกรอบ 0.3-1.3 % โดยยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯในการเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศต่าง ๆ จะมีความรุนแรงอย่างไร และเพิ่มภาษีสินค้าอะไรบ้าง และระยะเวลาปรับเพิ่มในช่วงใด รวมทั้งปัญหาการทุ่มตลาดสินค้าจีน จากสินค้าราคาถูก ทำให้เอสเอ็มอีไทยได้รับผลกระทบ ปัญหาหนี้ครัวเรือน อยู่ในระดับสูง ขณะนี้คลัง-ธปท. กำลังหามาตรการมาช่วยแก้ปัญหา ต้องเหลือกลุ่มเปราะบาง
“การเข้ามาของทรัมป์ จะเกิดความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเรื่องการกีดกันทางการค้า และสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังดำรงอยู่ โดยยังไม่แน่ใจว่าจะมีมาตรการอย่างไรมาทำให้ความขัดแข้งที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่เกิดขึ้น เบาบางลงได้ ดังนั้นหน่วยงานของรัฐ จะต้องรวบรวมข้อมูลต่างๆเพื่อที่จะเตรียมใช้ในการอธิบายเพื่อจะลดผลกระทบจากมาตรการที่จะออกมาด้วย”นายดนุชา กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องผลักดันการลงทุนภาคเอกชน เร่งรัดการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอในปี 65-67 การดูแลผลกระทบต่อภาคเกษตร การเร่งรัดส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป การช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสภาพคล่อง สำหรับการโอนเงินให้กลุ่มเปราะบางในช่วงสิ้นเดือนกันยายน จะเห็นผลชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ส่วนกระทรวงการคลัง เตรียมช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุในปลายปีนี้ ต้องดูรูปแบบการใช้จ่ายอย่างไรบ้าง สำหรับการโอนเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ในปีหน้า ต้องดูช่วงเวลาให้เหมาะสม และดูสถานการณ์ในช่วงถัดไป เพราะมีความเสี่ยงหลายด้านจำนวนมาก ดังนั้นการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น ต้องหารือกันให้ชัดเจนอีกครั้ง
สำรับสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัว 8.4% ต่อเนื่องจากการขยายตัว7.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 8.588 ล้านคน (คิดเป็น 93.22% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19) ส่งผลให้มูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้อยู่ที่ 3.57 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.6%
ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ไทยเที่ยวไทย) ขยายตัว 6.6% สร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 2.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 5.82 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 68.60% ต่ำกว่า 69.92% ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่า 66.16% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือนแรกของปี 2567 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัว 9.3%
สำหรับข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยง ในปี2568 ได้ แก่ 1.ความเสี่ยงจากแนวโน้มการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกท่ามกลางความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ และแนวโน้มการชะลอตัวมากกว่าที่คาดของเศรษฐกิจจีน
2. ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงภายใต้มาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวดมากขึ้นหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อปรับตัวลดลงส่งผลให้สถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อมากขึ้นส่งผลให้มูลค่าสินเชื่อชะลอลง3. ความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคการเกษตรทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ๆแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผลผลิตภายใต้สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยมากขึ้นจะสร้างแรงกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรลดลง ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตข้าวจากผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น
ทั้งนี้ ในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 ควรให้ความสำคัญกับ 1.ขับเคลื่อนภาคการส่งออกให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือผลกระทบจากการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น 2.การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม 3.การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยอาศัยประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานในการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 4.การดูแลเกษตรกรและสนับสนุนการปรับตัวในการผลิตภาคเกษตร และ5.การให้ความช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อปรับลดลงต่อเนื่อง