“เผ่าภูมิ” สั่งสรรพสามิตลุยศึกษารีดภาษีโซเดียม-ไขมัน หวังช่วยประชาชนดูแลสุขภาพ จ่อชง ครม. เคาะลุยรีดภาษีคาร์บอนกับสินค้าพลังงาน 6 ชนิด การันตีไม่กระทบประชาชนแน่นอน พร้อมเคาะเก็บภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว ลดการบิดเบือนกลไกราคา
5 พ.ย. 2567 – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่กรมสรรพสามิต ว่า ต้องการให้กรมสรรพสามิตเป็นกลไกและรักษาสมดุลด้านภาษีระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน ธรรมาภิบาล และรายได้การจัดเก็บ พร้อมทั้งได้มอบหมายให้พิจารณาแนวทางในการจัดเก็บภาษีเพื่อสนับสนุนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการใช้กลไกภาษีกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ
โดยเฉพาะการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมจากอุตสาหกรรมขนาดเล็กถึงใหญ่ รวมถึงการจ้างงาน โดยใช้ภาษีสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนผลิต PHEV, BEV และ FCEV ให้เพิ่มขึ้นในประเทศ แต่ยังคงรักษาฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และ HEV ไว้ อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องกำหนดเวลาชัดเจน และให้แนวทางว่ากรมสรรพสามิตสามารถสูญเสียรายได้ในระยะสั้น เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมในระยะยาว ซึ่งเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจประเทศได้
สำหรับภาษีน้ำมันนั้น ให้กำหนดกลไกราคาคาร์บอนในภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 6 ประเภท ซึ่งไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียน โดยคำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเบื้องต้นกำหนดราคาคาร์บอนที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือกระบวนการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ โดยต้องไม่ให้กระทบต่อราคาพลังงาน
“ยืนยันชัดเจนว่าการจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่จะแทรกอยู่ในภาษีน้ำมันนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนแม้แต่บาทเดียว โดยจะแบ่งสัดส่วนชัดเจน คือ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง และใส่ภาษีคาร์บอนเข้าไป เช่น น้ำมัน 1 ยูนิต เสียภาษีสรรพสามิต 6 บาท เราจะทำให้ภาษีสรรพสามิตลดเหลือ 5.5 บาท และอีก 0.5 บาท คือภาษีคาร์บอนที่จะใส่เพิ่มเข้าไป แต่รวมแล้วอัตราภาษีสรรพสามิตจะอยู่ที่ 6 บาทเท่าเดิม จึงไม่กระทบกับราคาขายปลีกของสินค้าพลังงาน ซึ่งกลไกนี้จะนำไปสู่การมีพลังงานที่สะอาดขึ้น นำไปสู่แรงจูงใจในการบริโภคน้ำมันที่สะอาดขึ้นด้วย โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาขั้นสุดท้าย คาดว่าจะสามารถเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในไม่ช้า” นายเผ่าภูมิ กล่าว
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้พิจารณาการใช้กลไกภาษีเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชน เป็นการสนับสนุนการแพทย์เชิงป้องกัน ลดการบริโภคอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ลดภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยดำเนินการจัดเก็บภาษีความหวานแบบผสมต่อเนื่อง และเข้าสู่เฟส 4 ตามกำหนดเวลา รวมทั้งมอบหมายให้กรมสรรพสามิตศึกษาพิจารณากลไกภาษีโซเดียมในสินค้าบางประเภทที่ไม่อยู่ในสินค้าควบคุม รวมทั้งภาษีไขมัน เพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมและไขมัน ตั้งเป้าคนไทยลดบริโภคเค็มลง 30% ภายในปี 2568 โดยต้องมีระยะเวลาก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ให้ผู้ประกอบการปรับตัว
“เรื่องภาษีโซเดียมจะต้องให้ไปพิจารณาข้อดี ข้อเสีย และจะใช้กับสินค้าใดก่อน โดยอาจจะเริ่มเก็บกับสินค้าที่กระทบประชาชนน้อยที่สุด ส่วนสินค้าที่มีผลต่อการดำรงชีพจะมีการพิจารณาในขั้นต่อ ๆ ไป เช่นเดียวกับภาษีไขมัน เพราะบนฉลากอาหารยังไม่ได้มีการระบุว่ามีไขมันดี และไขมันไม่ดีเท่าไหร่ ก็ต้องไปร่วมกับสาธารณสุข เพื่อดูในส่วนนี้อย่างละเอียด” รมช. การคลัง ระบุ
สำหรับภาษีแบตเตอรี่นั้น ได้มอบหมายให้ศึกษาพิจารณาเปลี่ยนจากอัตราคงที่ 8% เป็นอัตราแบบขั้นบันได โดยคำนึงถึงปัจจัย Life Cycle และค่าพลังงานจำเพาะต่อน้ำหนัก รวมถึงชนิดของแบตเตอรี่ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สะอาด อุตสาหกรรมรถยนต์ EV ส่วนบุหรี่ มอบหมายให้จัดเก็บภาษีแบบผสม โดยพิจารณาและศึกษาความเหมาะสมในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว (Singler Rate) เพื่อลดการบิดเบือนกลไกราคา โดยให้พิจารณาปัจจัยความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและสนับสนุนผู้เพาะปลูกใบยาสูบในประเทศด้วย รวมทั้งดำเนินการระบบตรวจ ติด ตาม บุหรี่ โดยใช้ระบบ QR Code ในบุหรี่ เพื่อป้องกันบุหรี่เถื่อนทั้งระบบ พร้อมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีและแหล่งที่มาของบุหรี่เพื่อมั่นใจได้ว่าเป็นบุหรี่ที่ได้มาตรฐานและตรวจสอบโดยกรมสรรพสามิต
สำหรับผลการดำเนินงานของกรมสรรพสามิตปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.66 – ก.ย.67) กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ 5.23 แสนล้านบาท ขยายตัว 9.8% สะท้อนถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่สูงกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงการใช้จ่ายในประเทศที่ดีขึ้นตามการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าและบริการในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ภาษีเครื่องดื่ม ขยายตัวสูงถึง 8% ภาษีกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ (ไนต์คลับและดิสโกเธค) จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น 31.3% และภาษีสนามกอล์ฟ จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น 12.4% ส่วนการจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่ สูงขึ้นกว่าปีก่อน15.6% ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า