ดร.อนุสรณ์ แนะจับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ มีผลต่อตลาดการเงินโลก เศรษฐกิจเอเชีย-ไทย

จับตาผลเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาต่อตลาดการเงินโลก เศรษฐกิจเอเชียและไทย การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งอาจนำมาสู่ความปั่นป่วนต่อตลาดการเงินโลก ไทยร่วมกลุ่ม BRICS ลดพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ถ่วงดุลชาติตะวันตก De-Dollarization ทำทองคำขาขึ้นยาว คาดเงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น                                           

3 พ.ย.2567-รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจ ว่า ผลการเลือกตั้งลักษณะใดส่งผลบวกต่อเอเชียและไทยมากที่สุดยังประเมินได้ยาก แต่อาจพอวิเคราะห์ในเบื้องต้นได้ว่า ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งนำไปสู่ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ส่งผลต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก เกิดการชะลอการลงทุนและการบริโภคเพื่อรอดูความชัดเจน และต้องติดตามว่าหลังประกาศผลเลือกตั้งจะมีความวุ่นวายเช่นเดียวกับ 4 ปีที่แล้วหรือไม่ มีความเสี่ยงของความวุ่นวายหลังการเลือกตั้งหากอดีตประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์แพ้เลือกตั้งด้วยคะแนนสูสีมากๆ อาจจะมีการกล่าวหาเรื่องโกงการเลือกตั้ง การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและมีการชุมนุมประท้วงของมวลชนอาจนำมาสู่ความปั่นป่วนต่อตลาดการเงินโลก หากสถานการณ์ยืดเยื้อและมีความรุนแรงจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและค่าเงินดอลลาร์ได้ แนะนำให้ผู้มีธุรกรรมระหว่างประเทศป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการซื้อเครื่องมือประกันความเสี่ยงประเภท Option

หากผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาออกมาในลักษณะพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นทั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและครองเสียงข้างมากของรัฐสภาสหรัฐฯ จะทำให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะมี โดนัล ทรัมป์แห่งพรรครีพับรีกัน หรือ กมลา แฮร์ริสแห่งพรรคแดโมแครตเป็นประธานาธิบดีก็ตาม มีความราบรื่นและสามารถผ่านกฎหมายได้ง่าย ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจเอเชียและไทยอย่างใดอย่างหนึ่งจะชัดเจนกว่า หากผลการเลือกตั้งออกมาในลักษณะที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกพรรคการเมืองพรรคหนึ่งมีเสียงข้างมากในสภาคองเกรส กรณีแบบนี้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่จะถูกตรวจสอบถ่วงดุลและไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ผลกระทบของนโยบายของรัฐบาลใหม่ต่อตลาดการเงินโลกและเศรษฐกิจจึงมีจำกัด ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา 468 ท่านแบ่งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) 435 ท่าน    สมาชิกวุฒิสภา (สภาสูง) 34 ท่าน เวลานี้ ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดคุมเสียงข้างมากเด็ดขาด พรรคแดโมแครตมีเสียงข้างมากในวุฒิสภา (51 ต่อ 49) ขณะที่พรรครีพับรีกัน มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (220-212) ผลของการเลือกตั้งที่เป็นไปได้มากที่สุด ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีก็ตาม รัฐบาลใหม่จะไม่สามารถคุมเสียงเด็ดขาดได้ทั้งสองสภา การผ่านกฎหมายหรือการดำเนินนโยบายจะมีถูกถ่วงดุลและต่อรองไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ตามที่ได้หาเสียงเอาไว้อย่างแน่นอน

ความวิตกกังวลต่อผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าต่อเศรษฐกิจและระบบการค้าโลกของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะมากเกินไป เพราะสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น ก็คือ นโยบายการขึ้นกำแพงภาษีขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเป็น 100% จากประเทศที่ไม่ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในการค้าระหว่างประเทศ การขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 60% สำหรับสินค้าจีน หรือการขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 10-20% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากประเทศอื่น ๆอาจไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นโดยง่าย ฉะนั้น ผลกระทบต่อระบบการค้าเสรีของโลกจึงไม่อาจเกิดขึ้นทันทีและอาจไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกังวลกัน อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่า หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งแล้วขึ้นภาษีนำเข้า 60% ต่อสินค้าจีนอาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนอาจลดลงได้ถึง 0.50%  ส่วน ไทยนั้น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกินดุลการค้าสหรัฐฯมาโดยตลอด หากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์กลับเข้ามามีอำนาจมีโอกาสที่สหรัฐฯอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าต่อไทยเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐฯ นอกจากนี้ “ไทย” ยังเคยถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯในสมัยทรัมป์ว่ากดค่าเงินบาทให้อ่อนเพื่อกระตุ้นการส่งออก ซึ่ง “สหรัฐฯ” มองว่าเป็นการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม

นโยบายการปรับลดภาษีทั้งนิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลของรัฐบาลทรัมป์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายเช่นเดียวกันเพราะจะถูกถ่วงดุลโดยรัฐสภาที่ไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด และ ข้อจำกัดเพดานหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาล แต่หากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า และ ลดภาษีเงินได้เกิดขึ้น จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา หากมีการตอบโต้ขึ้นกำแพงภาษีจากประเทศคู่ค้าจะกดดันต่อปริมาณการค้าโลกให้ชะลอตัวลง ส่งผลลบให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ผู้ผลิตภายในสหรัฐอเมริการและผู้ใช้แรงงานอาจได้ผลประโยชน์ระยะสั้นจากการปกป้องทางการค้า แต่ระยะยาวแล้วอาจไม่เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯโดยรวม ส่วนผู้บริโภคต้องซื้อของแพงขึ้น

อีกด้านหนึ่ง นโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทต่างๆโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่จะได้ประโยชน์โดยตรง ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากและจะเกิดฟองสบู่ของราคาหลักทรัพย์ ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลจากปัจจัยทางนโยบายภาษีไม่ได้เป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานทางด้านผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลัก นอกจากนี้อาจมีการเสนอให้ถอดถอนสถานะการค้าปกติ หรือ PNTR กับจีน ซึ่งสถานะดังกล่าวเป็นประโยชน์สำหรับจีนในฐานะสมาชิกองค์การการค้าโลก การพิจารณาถอดถอนดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้โดยง่ายเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังมีนโยบายปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงระหว่างร้อยละ 15 – 20 จากเดิมอัตราร้อยละ 21 ที่ได้ปรับลดจากร้อยละ 34 ในสมัยที่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐของสหรัฐฯและรายจ่ายทางด้านสวัสดิการสังคม นโยบายด้านภาษีของรัฐบาลแฮร์ริสจะแตกต่างจากรัฐบาลทรัมป์อย่างชัดเจน เนื่องจากพรรคโดเมแครต เสนอให้เพิ่มภาษี แต่เพิ่มการลงทุนในระบบสวัสดิการและระบบโครงสร้างพื้นฐาน มีการวางแผนจะปรับอัตราภาษีธุรกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 28 และเพิ่มภาษีรายได้ธุรกิจที่มีแหล่งรายได้จากต่างประเทศ อีกทั้ง ยังมีแผนปรับเพิ่มอัตราภาษีทางเลือกขั้นต่ำสำหรับธุรกิจสำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่รายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐติดต่อกันอย่างน้อยสามปีจากอัตราร้อยละ 15 เป็นอัตราร้อยละ 21 และยังเสนอปรับเพิ่มอัตราภาษีซื้อคืนหุ้นจากเดิมร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 4 กำหนดเพดานการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารบริษัทด้วย นโยบายดังกล่าวของรัฐบาลแฮร์ริสอาจมีส่วนช่วยให้ฐานะทางการคลังดีขึ้น

การขาดดุลงบประมาณลดลงแต่ไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและผลประกอบการของธุรกิจขนาดใหญ่เพราะภาษีเพิ่มขึ้นอีก 7% นอกจากนี้ พรรคแดโมแครตมีนโยบายปรับเพิ่มอัตราภาษีสำหรับกำไรส่วนต่างจากการขายสินทรัพย์ (Capital Gain Tax หรือ CGT) จากเดิมอัตราร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 28 อีกด้วย คาดว่า จะทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯมายังตลาดหุ้นภูมิภาคและไทยมากขึ้น

อีกด้านหนึ่ง หาก กมลา แฮร์ริส ชนะเลือกตั้งเป็นผู้นำสหรัฐฯ จะมีการดำเนินนโนบายตามรัฐบาลโจ ไบเดนในการตอบโต้ทางการค้าจีนด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรายการเดิมรวมถึงกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่งประกาศเพิ่มในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงในกรณีความขัดแย้งกับประเทศคู่ค้าในกลุ่มสินค้าเหล็กและเครื่องบินพาณิชย์ สหรัฐอเมริกายังให้ความสำคัญกับเวทีพหุภาคีและมีแนวโน้มเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ประเมินในเบื้องต้น ไม่ว่าจะได้รัฐบาลทรัมป์ หรือ รัฐบาลแฮร์ริส ไทยและอาเซียน จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคมากขึ้น ส่วนสินค้าส่งออกที่เป็นห่วงโซ่อุปทานเดียวกับจีนอาจได้รับผลกระทบในการส่งออกระดับหนึ่ง การปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าบางตัวจากจีน จะทำให้สหรัฐอเมริกาหันมาใช้จากการผลิตในประเทศมากขึ้น นำเข้าจาก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและอาเซียนมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการในการผลิตสินค้าบางประเภทอาจย้ายฐานผลิตมายังไทยและอาเซียนมากขึ้น

ทว่าอาจหนีไม่พ้นผลกระทบจากสงครามการค้าเพราะอาจต้องเผชิญกับมาตรการ Anti-Circumvention (มาตรการตอบโต้การค้าไม่เป็นธรรมเพิ่มเติม) เหมือนธุรกิจ ผลิตหรือส่งออก Solar Cells จากไทยหรืออาเซียนเจอตอบโต้ผ่านมาตรการ Anti-Circumvention เนื่องจากมีการย้ายมาผลิต หรือประกอบบางส่วน หรือ ดัดแปลงบางส่วน หรือ ส่งออกผ่านประเทศตัวกลางเพื่อเลี่ยงภาษี

รัฐบาลแฮร์ริสจะสานต่อรัฐบาลโจ ไบเดนในการเสริมสร้างความร่วมมือกับกลุ่มประเทศในเขตแปซิฟิกเพื่อคานอำนาจจีน และมีนโยบายสนับสนุนไต้หวันในการปกป้องอธิปไตยต่อกรณีการรุกรานของจีน หากเปรียบเทียบนโยบายระหว่าง กมลา แฮร์ริส กับ โดนัล ทรัมป์ แล้วพบว่า นโยบายการตอบโต้ทางการค้าจีนของทรัมป์จะเข้มข้นมากกว่า แต่ไทยซึ่งมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเกินดุลสหรัฐฯ สูงก็อาจจะเป็นเป้าหมายในการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ในอนาคต ดังที่สหรัฐฯ ได้เคยดำเนินมาตรการกดดันไทย โดยไทยเคยเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศที่สหรัฐฯ เปิดการไต่ส่วนประเด็นการค้าเกินดุลสหรัฐฯ สูง รวมถึงเคยถูกระงับสิทธิ์ GSP สินค้าไทยทั้งสิ้น 573 รายการในช่วง โดนัล ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนี้ นโยบายการไม่สนันสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและการรักษาสิ่งแวดล้อมยังอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไทยได้

ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯยังส่งผลต่อวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ เพราะรัฐบาลใหม่ (ไม่ว่าจะเป็นพรรคแดโมเครต หรือ พรรครีพับรีกัน) มีนโยบายในด้านสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันอย่างชัดเจน รัฐบาลแฮร์ริส มีนโยบายให้ความสำคัญกับอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกปัจจัยก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนและวิกฤตการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ สนับสนุน The Inflation Reduction Act (IRA) ให้ใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด มีจุดยืนคัดค้านการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซปิโตเลียมด้วยวิธีการ Fracking ที่ส่งผลกระทบทำให้ชั้นหินแตกตัวซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ตัวประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เชื่อเรื่องภาวะโลกร้อนและปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มองปัญหาเหล่านี้เป็นธรรมชาติของโลก จึงเสนอให้ยกเลิกการให้ภาษีส่วนลดสำหรับการซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และยกเลิกรัฐบัญญัติ IRA ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น โรงงานไฟฟ้าจากพลังงานลม โรงงานไฟฟ้าจากพลังงาน รวมถึงยกเลิกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ถ่านหินในโรงงานผลิตพลังงาน การปล่อยก๊าซของเสียรถยนต์ และการปล่อยก๊าซมีเทนในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียม เป็นต้น คาดว่า หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ปัญหาภาวะโลกร้อนอาจรุนแรงขึ้นเพราะสหรัฐฯเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด

รัฐบาลแฮร์ริสไม่มีท่าทีชี้นำนโยบายการเงินและนโยบายดอกเบี้ยของธนาคากลางสหรัฐฯและสนับสนุนการควบคุมอัตราเงินเฟ้อด้วยกลยุทธ์การควบคุมราคาสินค้า ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 4 ครั้งรวมทั้งสิ้น 1% ในปีหน้า ขณะที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการดำเนินนโนบายด้านอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯในปัจจุบัน อาจจะมีการกดดันให้การลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์และมีแนวโน้มสนับสนุนให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเพื่อสนับสนุนการส่งออก 

สงครามการค้ารอบใหม่หลังการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสต่อไทยและภูมิภาคอาเซียน พลวัตของผลกระทบทั้งลบและบวกยังไม่ชัดเจน ต้องรอดูว่า จีนจะมีมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างไร ที่ผ่านมา ประเทศจีนใช้วิธีการอุดหนุนเพื่อให้ภาคการผลิตมีต้นทุนต่ำและบริหารจัดการค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆเพื่อสนับสนุนการส่งออกและดึงให้เศรษฐกิจภายในพ้นจากภาวะเงินฝืดและดูดซับการลงทุนและกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่ต้องประเมิน จะเกิดการตอบโต้ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีหรือการใช้มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เพิ่มเติมระหว่างจีนกับอียู และ อียูกับสหรัฐอเมริกา หรือไม่ หากเกิดภาวะดังกล่าวเพิ่มเติมเข้ามาอีก จะทำให้ระบบการค้าเสรีของโลกภายใต้กรอบข้อตกลงขององค์การการค้าโลกและทุนนิยมโลกาภิวัตน์เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมมากยิ่งขึ้น

ไทยเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะส่งดีต่อไทยในระยะยาว เป็นการดำเนินกุโศบายต่างประเทศที่ดี เพราะเป็นการเพิ่มการถ่วงดุลในระบบพหุขั้วอำนาจโลก ที่ไม่ใช่ระบบโลกที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำหนึ่งเดียว ถือเป็น Strategic Autonomy ของไทยในแง่นโยบายต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาจะดำเนินนโยบายให้ประโยชน์กับไทยมากขึ้นเพื่อไม่ให้ไปใกล้ชิดกับ ขั้วอำนาจ BRICS มากเกินไป ขณะที่ เวทีก็จะเป็นประโยชน์กับไทยในการเจรจาต่อรองกับชาติตะวันตกและสหรัฐอเมริกา จะเกิดระบบโลกาภิวัตน์ที่เป็นธรรมมากขึ้น กลุ่ม BRICS นั้น ต้องการปรับสมดุล (ถ่วงดุล) อำนาจทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว การถ่วงดุลดังกล่าวจะมีผลต่อดุลอำนาจการเมืองระหว่างประเทศด้วย หากพิจารณาดูเป้าหมายแล้ว จะมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างการจัดการเศรษฐกิจโลก เพื่อให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้มีบทบาทมากขึ้น การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

การสร้างกลไกระหว่างประเทศทางเลือก ทั้งในด้านการเงิน การให้ความช่วยเหลือ และการระดมทุน เพื่อการพัฒนา การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะทำให้ลดพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ถ่วงดุลชาติตะวันตก De-Dollarization ทำให้ราคาทองคำขาขึ้นยาวนานต่อไป  คาดเงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น                                           

กรณีเอสเอ็มอีไทยได้รับผลกระทบจากการทุ่มตลาดของสินค้าจีนนั้น การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะทำให้ผลกระทบมากขึ้นหรือไม่ ตามหลักการการค้าเสรีควรเป็นประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้องทุกคน หากเป็นการค้าที่เสรี ที่มีความเป็นธรรม หากเราสามารถแข่งขันได้เราจะได้ประโยชน์มากจากการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจการค้า รัฐไทยต้องกำหนดกติกาไม่ให้ขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุนมากๆ เป็น พฤติกรรมทุ่มตลาด ทำให้ผู้ผลิตรายเล็กรายย่อยล้มละลายเลิกกิจการกันหมด ต้องกำหนดเกณฑ์สินค้าให้มีคุณภาพให้ได้มาตรฐาน แต่ไม่ควรไปตั้งกำแพงภาษี หรือ ใช้การกำหนดโควต้า กีดกัน เพราะถึงที่สุดจะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมและผู้บริโภค แม้นผู้ผลิตภายในจะได้ประโยชน์จากการปกป้องก็ตาม

เพิ่มเพื่อน