“ปลัดคลัง” รับจัดเก็บรายได้ปีงบ 67 วืดเป้า 4-5 พันล้านบาท อ่วมพิษบาทแข็งกระทบจัดเก็บภาษี VAT จากการนำเข้าระส่ำ เร่งทำการบ้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อนรายงาน “นายกฯอิ๊ง” สิ้นเดือน ต.ค. นี้
29 ต.ค. 2567 – นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2567 ว่า เบื้องต้นจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ ราว 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุม นั่นคือในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ย. 2567 อัตราแลกเปลี่ยนมีการปรับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการนำเข้าสินค้าทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ตรงนี้ถือเป็นข้อเท็จจริง
“ผลการจัดเก็บในปีงบประมาณ 2567 ออกมาต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ถือว่าเป็นการติดลบในนาทีสุดท้าย แต่ถือว่าทำได้ดีมากแล้วในทุก ๆ หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ เพราะเป็นผลมาจากปัจจัยที่นอกเหนือจากการควบคุม คืออัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ตรงนี้เป็นข้อเท็จจริง ถ้าหากไม่มีปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่นอกเหนือการควบคุม กระทรวงการคลังก็มั่นใจว่าการจดัเก็บจะเป็นไปตามเป้าหมายในเอกสารงบประมาณอย่างแน่นอน” นายลวรณ กล่าว
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังจะมีการรายงานให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ที่กระทรวงการคลังในวันที่ 31 ต.ค. นี้ เกี่ยวกับภาพรวมมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งทำการบ้านกันอยู่ โดยมาตรการที่จะออกมาคงต้องดูภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปีว่าจำเป็นจะต้องมีมาตรการอะไรออกมากระตุ้นช่วงไหนบ้าง
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 นั้น มองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะมาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีธุรกิจขายตรง แม้ว่ากฎหมายปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องมาดูว่าจำเป็นจะต้องมีการปรับส่วนใดบ้างเพื่อให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะต้องยอมรับว่าโลกออนไลน์ในปัจจุบัน กระบวนการขายตรงไปเร็วกว่าที่เคยเห็นกว่าในอดีตมาก
สำหรับรายละเอียดของกฎหมายต่าง ๆ นั้น อยากให้รอดูความชัดเจนอีกครั้ง แต่มั่นใจว่าสุดท้ายจะมีอะไรดี ๆ ออกมาเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการรับมือบริบทของเศรษฐกิจและธุรกิจในปัจจุบันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการเอาผิดกับแม่ข่าย ที่น่าจะมีการพิจารณาไปถึงเจตนาว่าใครมีเจตนาฉ้อโกง หรือหลอกลวงเป็นหลักด้วย
อย่างไรก็ดี ในส่วนของความคืบหน้าเรื่องกองทุนรวมวายุภักษ์นั้น ขณะนี้ทราบว่ากองทุนกำลังทยอยลงทุนในโอกาสที่เหมาะสม โดยได้รับข้อมูลเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่ากองทุนฯ มีการลงทุนไปแล้วไม่ถึง 30% เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ในตลาดทุนค่อนข้างดีแล้ว สะท้อนจากความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับมา เงินทุนไหลกลับเข้ามา และกองทุนรวมวายุภักษ์ก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนตลาดทุนในปัจจุบันด้วย