‘มนพร’หนุนเปิดใช้รันเวย์ 3 สุวรรณภูมิ เพิ่มศักยภาพการให้บริการจราจรทางอากาศ รับฮับการบินในภูมิภาค รองรับการท่องเที่ยว-กระตุ้นเศรษฐกิจ คาดปี 67 ไฟลท์บินทั้งประเทศโตจากปีก่อน 16% รวม 8.3 แสนไฟลท์ วางเป้าปี 68 รองรับกว่า 1 ล้านไฟลท์
29 ต.ค.2567-นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า จากการตรวจเยี่ยม บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ได้เน้นเรื่องความพร้อมในการให้บริการจราจรทางอากาศ ทั้งในด้านระบบ อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบุคคลากร เพื่อรองรับการเปิดใช้งานทางวิ่งเส้นที่ 3 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างเต็มรูปแบบที่เปิดทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่พบปัญหาใด ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2567 มีเที่ยวบินรวมทั้งประเทศ 836,513 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2566 ใน
สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ มีเที่ยวบิน รวม 348,980 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ย950 เที่ยวบินต่อวัน ภาพรวมปริมาณเที่ยวบินใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารองรับ 1 ล้านเที่ยวบิน ในปี 2568 ดังนั้น การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินจึงเป็นภารกิจสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค รวมทั้งรองรับการท่องเที่ยวจากทั่วโลกเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล
ด้านนายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมทั้งหมดนี้ใช้ระยะเวลาดำเนินการล่วงหน้ากว่า 5 ปี ปัจจุบัน บวท. มีความพร้อมในการให้บริการจราจรทางอากาศรองรับการใช้งานทางวิ่งทั้ง 3 เส้น ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยการเปิดใช้งานทางวิ่งเส้นที่ 3 จะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรองรับเที่ยวบินจากเดิม 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้นเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง โดยรันเวย์ที่ 3 จะใช้รองรับการบินลงเป็นหลัก โดยมีเที่ยวบินใช้งานต่อวันเฉลี่ย 30 % ของปริมาณเที่ยวบินทั้งหมดของสุวรรณภูมิ 1,000 เที่ยวบิน
“การเปิดใช้รันเวย์ที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ มี วิธีปฏิบัติการควบคุมจราจรทางอากาศ เพื่อให้อากาศยานขึ้นลงพร้อมกันจึงต้องมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่จัดจราจรทางอากาศให้มีความชำนาญ และได้เพิ่มบุคลากรอีกประมาณ 50 อัตราดังนั้นในช่วงแรก จะรองรับที่ 68 เที่ยวบินต่อชม. จนถึง ปลายปี 2567 จากนั้นอีก 2 เดือนจะขยายการรองรับเป็น 75 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และขยายเต็มขีดความสามารถที่ 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมงประมาณกลางปี 2568”นายณพศิษฏ์ กล่าว
ขณะเดียวกันการจัดการจราจรทางอากาศในรูปแบบการขึ้นและลงทางวิ่งคู่ขนานพร้อมกัน หรือ Simultaneous Parallel Operations จะทำให้การจราจรทางอากาศเกิดความคล่องตัว อีกทั้งการบริหารจัดการใช้งานทางวิ่งจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะใช้ทางวิ่งสำหรับขึ้นและลงที่ใกล้กับหลุมจอดให้ได้มากที่สุด เพื่อลดระยะทางและลดระยะเวลาในการขับเคลื่อน (Taxi) ของอากาศยาน ทำให้เกิดความรวดเร็ว และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้บวท. ได้ทำงานร่วมกับท่าอากาศยานและสายการบินอย่างใกล้ชิดเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการบินของประเทศ