ส.อ.ท. ชี้อุทกภัยดึงดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ลดลงต่อเนื่อง งวด ก.ย. อยู่ระดับ 87.1 กระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม 3-5 หมื่นล้านบาท เสนอให้ธปท.ดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ลดความผันผวน พร้อมแนะรัฐพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
16 ต.ค. 2567 – นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนก.ย. 2567 อยู่ที่ระดับ 87.1 ปรับตัวลดลง จาก 87.7 ในเดือนส.ค. 67 โดยมีปัจจัยด้านลบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง สร้างความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนของประชาชน พื้นที่การเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงพื้นที่การท่องเที่ยว และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม มูลค่าสูงถึง 30,000 – 50,000 ล้านบาท ขณะที่กำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอจากแรงกดดันปัญหาหนี้ครัวเรือน ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย และการบริโภคสินค้าคงทนก็ยังคงชะลอตัวลง สะท้อนจากยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในประเทศช่วง 8 เดือน (ม.ค. – ส.ค. 2567) หดตัว 24% และ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนและความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการของภาครัฐ โดย ณ วันที่ 27 ก.ย. 2567 เบิกจ่ายงบลงทุนได้เพียง 63.31% ส่งผลให้ยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้างชะลอลง อีกทั้งปัญหาการทุ่มตลาดของสินค้าจีน ยังส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทย ขณะที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญการแข่งขันสูง การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็วกดดันภาคการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก และกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย อีกทั้งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากระดับ 34.92 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเดือนส.ค. 67 เป็น 33.52 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเดือนก.ย. 67 ตามการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐ และจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00 ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ภาคเอกชนมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ 1. ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและลดความผันผวน รวมถึงพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สอดคล้องสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน 2. ขอให้ภาครัฐพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติที่มีความแม่นยำถูกต้อง และสามารถแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์(Real time) ผ่านโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการเร่งแก้ไขปัญหาการทำเกษตรในพื้นที่ป่า และ 3. เสนอให้ภาครัฐพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2567 อาทิ มาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในเดือนก.ย. ยังมีปัจจัยบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 โดยการแจกเงินสด 10,000 บาท ให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการจำนวน 14.5 ล้านราย ช่วงวันที่ 25–30 ก.ย. 67 ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ยังเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 29 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 26,005,295 คน ขยายตัว 30% จากปีก่อน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ มูลค่า 1,214,681 ล้านบาท และภาคการส่งออก ปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก อาทิ สหรัฐฯ จีน อาเซียน ยุโรป อินเดีย แอฟริกาและตะวันออกกลาง เป็นต้น และอัตราค่าระวางเรือ (Freight rate) ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะเส้นทางสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลง
ทั้งนี้จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,353 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. ในเดือนก.ย. พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 67.3% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 48.1% ตามลำดับ สำหรับปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก 58.6% ราคาน้ำมัน 49.8% สถานการณ์การเมืองในประเทศ 36.3% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 36.0% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 96.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 95.2 ในเดือนส.ค. 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงมาตรการ 10,000 บาท เฟส 2 จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567
นอกจากนี้การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง High Season และได้รับผลบวกจากมาตรการส่งเสริมท่องเที่ยวภาครัฐ อานิสงค์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทยในสินค้าปิโตรเคมี ยางพารา สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว การส่งออก ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี จากความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังคงห่วงกังวล ได้แก่ สภาพอากาศที่แปรปรวนจากปรากฎการณ์ลานีญา ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงขึ้น กระทบต่อวัตถุดิบในภาคเกษตร ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่ยังยืดเยื้อ เป็นความเสี่ยงต่อภาคการส่งออก และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อนโยบายการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ค่าดัชนีฯ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 สะท้อนว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โฆษกศปช. เผยกรณี 'น้ำผุด' อ.เชียงดาว มอบหน่วยงานลงพื้นที่ศึกษาแนวทางใช้ประโยชน์
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่า ตามที่ ศปช. ได้เคยประกาศแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้เฝ้าระวังฝนตกหนักในพื้นที่ระหว่างวันที่ 20-24 พ.ย.ไปแล้วก่อนหน้านี้
'ศิริกัญญา' งง รอมา 2 เดือน นโยบายกระตุ้นศก.ไม่มีอะไรชัดเจน ย้อนถามแจกเงินหมื่นช่วยอะไรได้
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า