“ปลัดคลัง” ชี้เงินทุนไหลทำบาทโป๊ก มองเป็นเรื่องดี ช่วยเสริมความเชื่อมั่นตลาดทุน พร้อมโยน “แบงก์ชาติ” ดูแลสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน หวั่นแข็งค่าเร็วกระทบส่งออก แนะเร่งหาจุดสมดุล
17 ก.ย. 2567 – นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้ ว่า สาเหตุหนึ่งมาจากเงินทุนไหลเข้า ถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดี เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ขณะที่บรรยากาศการลงทุนของไทยก็เริ่มมีการมองเห็นในระดับนานาชาติมากขึ้น ดังนั้น ภาพรวมการไหลเข้าของเงินทุนจึงถือเป็นเรื่องที่ดี ส่วนการบริหารอัตราแรกเปลี่ยน ที่อาจจะแข็งค่าเร็วขึ้นนั้น มองว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะต้องเข้ามาดูแลในส่วนนี้ โดยน่าจะมีมาตรการอย่างไรที่ช่วยบรรเทาภาวะการแข็งค่าของเงินบาทลงบ้าง
ทั้งนี้ ในแง่ของการส่งออก เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีอยู่แล้ว แต่ในอีกมุมการอ่อนค่าของเงินบาทก็ไม่เป็นผลดีต่อการนำเข้าเช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีจุดสมดุล ถ้าในช่วงระยะสั้นมาก ๆ เชื่อว่าจะเป็นผลดีกับความเชื่อมั่นในตลาดทุน ซึ่งเรื่องนี้เคยเป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องแก้ไขมาระยะหนึ่ง แต่วันนี้โจทย์ตรงนี้จบแล้ว ส่วนอีกปัญหา คือ เรื่องการส่งออกที่จะต้องกลับไปดูว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม
“อย่างไรค่าเงินบาทก็ต้องแข็งค่าอยู่แล้ว เมื่อมีเงินทุนไหลเข้า จะเร็ว จะช้า จะมาก หรือจะน้อย ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่สามารถบริหารกันได้ ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ก็ควรจะต้องทำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนคนที่จะตอบได้ว่าระดับใด คือระดับที่เหมาะสม ผมว่า เป็นหน้าที่ของ ธปท.” นายลวรณ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าภายหลังการเปิดให้นักลงทุนรายย่อย หรือประชาชนทั่วไปเข้าซื้อจองหน่วยลงทุนประเภท ก. ในกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า เราเปิดให้รายย่อยซื้อจอง 5 วัน คือวันที่ 16-20 ก.ย. หลังจากนั้นจะเปิดให้นักลงทุนสถาบันซื้อจองอีก 3 วัน คือวันที่ 18-20 ก.ย. ดังนั้นคาดว่าจะเห็นภาพรวมตัวเลขการซื้อจองทั้งหมดในวันที่ 20 ก.ย. 2567 และในวันที่ 21 ก.ย. คณะกรรมการกำกับกองทุนวายุภักษ์จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดสรรหน่วยลงทุนว่าจะเป็นเท่าไหร่ อย่างไร โดยเดิมเคยพูดว่าจะจัดสรรให้รายย่อย ราว 3-4 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบัน 1.1-1.2 แสนล้านบาท ตรงนี้เป็นตัวเลขเบื้องต้น แต่คิดว่าข้อสรุปเรื่องการจัดสรรก็น่าจะใกล้เคียงที่ประเมิน