SCGลั่น5ปีลงทุน2แสนล้านบาท เสริมแกร่งธุรกิจปิโตรเคมีเวียดนาม

เอสซีจี ตั้งงบลงทุน 5 ปี 2 แสนล้าน เพิ่มความเข้มแข็งปิโตรเคมีเวียดนาม เร่งพัฒนาถังเก็บวัตถุดิบและท่อนำส่งคาดเสร็จใน 3 ปี พร้อมเร่งนวัตกรรมกรีน รับมือมาตรการภาษีคาร์บอน

16 ก.ย. 2567 – นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่ามองสถานการณ์โลกปัจจุบันและทิศทางอนาคต ในระยะ 2-5 ปี จะมีความผันผวนมากขึ้น ทั้งความท้าทายจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมทั้งกฎเกณฑ์และโอกาสใหม่ ๆ จากเทรนด์รักษ์โลก ด้วยเหตุนี้ทุกธุรกิจของเอสซีจีจึงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมลดคาร์บอนไดออกไซด์ ตามแนวทาง Inclusive Green Growth เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันระยะยาว โดยเดินหน้าบนมาตรการคุมเข้มทางการเงิน ที่จะพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ ภายใต้งบประมาณการลงทุนปีละ 40,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2568-2573 รวมวงเงินประมาณ 2 แสนล้านบาท และมุ่งลดเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ 10-15% จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งโฟกัสในธุรกิจที่มีศักยภาพ ปิดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร โดยหมุนทรัพยากรและกำลังคนมาโฟกัสในธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 39% ของรายได้รวมเอสซีจี เร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับสูง ธุรกิจจึงเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ให้มีความยืนหยุ่นด้านต้นทุนการผลิตมากขึ้น จากการเพิ่มทางเลือกใช้วัตถุดิบในการผลิต เพื่อให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้เหมาะสมกับจังหวะตลาดและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติอีเทน (Ethane) เป็นวัตถุดิบเพิ่มเติมจากการใช้แนฟทา (Naphtha) และก๊าซธรรมชาติโพรเพน (Propane) เนื่องจากราคาเฉลี่ยอีเทนต่ำกว่า 40% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยราคาของแนฟทาและโพรเพนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

“การเสริมแกร่งครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดจุดแข็งของ LSP ที่ถูกออกแบบให้สามารถรองรับวัตถุดิบประเภทก๊าซอยู่แล้ว โดยมีระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางที่มีความพร้อมในการติดตั้งถังเก็บวัตถุดิบและท่อนำส่งก๊าซอีเทน คาดการณ์ใช้ระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 3 ปี เพื่อเดินหน้าการผลิตโอเลฟินส์ และพอลิโอเลฟินส์ อย่างพอลิเอทิลีน และพอลิโพรพิลีน ตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกสำหรับผลิตสินค้าอุปโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในตลาดเวียดนาม ซึ่งมีความต้องการสูง ภายใต้การบริหารต้นทุนที่เหมาะสม ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ LSP จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนต.ค. 2567″นายธรรมศักดิ์ กล่าว

ขณะเดียวกันความพร้อมของ LSP ยังสามารถรองรับการผลิตนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMERTM ในอนาคต ซึ่งเป็นนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูงที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตอบรับเทรนด์รักษ์โลก ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั้งในประเทศเวียดนามและภูมิภาคอาเซียนต่อไป ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย เอสซีจี เดินหน้า ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน มุ่งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้มาตรการภาษีคาร์บอนที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ ซึ่งปัจจุบันกำลังพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชัน 3 ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการทดแทนปูนเม็ดในการผลิต ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 40-50% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์ประเภทเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการปูนคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเร่งขยายกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสามารถเป็นฐานการส่งออกในอนาคต

นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่าธุรกิจ New S-Curve เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เดินหน้าขยายสู่อาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มุ่งสู่เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 3,500 เมกะวัตต์ในปี 2573 ด้วยจุดแข็งด้านนวัตกรรมและโซลูชันพลังงานสะอาดครบวงจรระดับโลก ทั้งระบบบริหารจัดการ การผลิต การจัดเก็บ (ESS) และจำหน่ายไฟฟ้าจากแพลตฟอร์มพลังงานสะอาด ‘Smart Micro Grid’ ตลอดจน ‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด’ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างยูนิตแรกของโลก

เพิ่มเพื่อน