กกร.จ่อยื่นสมุดปกขาวให้นายกฯอุ๊งอิ๊งในเดือนก.ย.นี้ มองจีดีพีโตสุด2.7%

กกร.จ่อยื่นสมุดปกขาว ให้นายกอุ๊งอิ๊งในเดือนก.ย.นี้ สรุปความต้องการพร้อมแนวทางดันเศรษฐกิจ ห่วงน้ำท่วม สูญ 6-8 พันล. หวังปรับเป้าส่งออกโต 1.5-2.5% ดันเป้าจีดีพีปีนี้คงโต 2.2-2.7% จี้รัฐอนุมัติเงิน 1 หมื่นบาทเข้าระบบ หวังความเชื่อมั่นประชาชน-ตลาดซื้อขายครึกครื้น

4 ก.ย. 2567 -นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร. มีความยินดีที่รัฐบาลสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ ซึ่งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้มีโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว มีโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนแรกกว่า 757 แห่ง มีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงเศรษฐกิจนอกระบบมีขนาดใหญ่ ที่ประชุมกกร. จึงได้เร่งจัดทำสมุดปกขาว นำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนก.ย.นี้

“เชื่อว่ารัฐบาลแม้มีหลายพรรค แต่มีความเป็นเอกภาพ โดยเอกชนมีมุมมองเชิงบวกกับขั้นตอนการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่รวดเร็วในขั้นแรก และการเปิดรับให้เอกชนเข้าพบปะหารือร่วมกัน ทำให้บรรยากาศมีความเชื่อมั่นมากขึ้น สะท้อนผ่านตลาดเงินตลาดทุนที่ดูดีออกมา โดยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันต้องเร่งให้เกิดการส่งผ่านเม็ดเงินเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง จะเกิดความกระชุ่มกระชวยกลับไปที่ฐานราก สร้างบรรยากาศและอารมณ์ทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างรวดเร็ว” นายผยง กล่าวว่า

นายผยง กล่าวว่า กกร.มีความกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบนที่ โดยคาดว่ามูลค่าความเสียหาย สำหรับช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.จะอยู่ที่ประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท หรือ 0.03-0.04% ของจีดีพี ซึ่งภาคเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนในระยะถัดไปต้องติดตามพายุที่อาจจะเข้าได้ช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.นี้ ถือเป็นความเสี่ยงต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม

“ที่ประชุมมีความกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยที่เกิดขึ้น เป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม นอกเหนือจากอุปสงค์ภายในประเทศของไทยยังอ่อนแรงสะท้อนจากการลงทุน แม้รัฐจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณลงทุน ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเติบโตเฉลี่ยได้กว่า 20% ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมา แต่เศรษฐกิจไตรมาส 2/2567 ยังชะลอตัว โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนหดตัวมากถึง 6.8% เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศลดลงถึง 24% ส่วนการลงทุนในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอ สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ปรับลดลงต่อเนื่อง กกร.จึงยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ 2.2-2.7%”นายผยง กล่าว

ดังนั้น จึงมีมติให้จัดตั้งคณะทำงานย่อยจัดทำข้อเสนอด้านการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเสนอต่อภาครัฐ โดยเน้นการวางแผนระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำรอยเหมือนปี 2554 เน้นการพัฒนาแหล่งน้ำและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำทั่วประเทศ เพื่อให้การบริหารน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำ

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง สหรัฐส่งสัญญาณพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ค่าระวางเรือยังสูงกว่าภาวะปกติ 3 เท่าตัวเป็นปัจจัยลบต่อการค้าโลก แต่การส่งออกของไทยในเดือนก.ค.เติบโตถึง 15.2% จากแรงหนุนของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ของโลก และคาดว่าทั้งปีไทยจะส่งออกได้ 1.5-2.5% สูงกว่าประมาณการเดิมคาดไว้ที่ 0.8-1.5% แต่การเติบโตดังกล่าวยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้าง

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนหลังจากจัดตั้งคณะรัฐบาลแล้วนั้นคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนคนไทยก่อน และเรื่องอื่น ๆ จะตามมา ขณะที่ด้านนโยบายจะต้องผลักดันคือเรื่องเงินดิจิทัล วอลเลต 10,000 บาทนี้แจกจ่ายให้ได้ก่อน เพราะมองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน รวมถึงการดูแลค่าครองชีพ และการจัดการปัญหาเรื่องน้ำก็สำคัญ ขณะเดียวกันจะต้องมีการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของปี 2567 ให้ครบถ้วน และต่อเนื่องในปี 68 จะต้องอยู่ในกำหนดเวลา

“ตอนนี้ในตลาดไม่มีเงินหมุนเวียนเลย ถ้ามีเงินอัดฉีดเข้าไป จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้อย่างมาก ขณะที่การกำหนดเงื่อนไขของการแจกเงิน 1 หมื่นบาทนั้น เราเคยให้ข้อเสนอไปแล้วคือต้องการให้แจกกลุ่มที่เปราะบางก่อน ซึ่งกลุ่มผู้พิการก็จะรวมอยู่ในนี้ หากยังมีเงินเหลือและต้องการจะแจกให้ครบถ้วนในกลุ่มอื่น ๆ นั้นก็ต้องรอรัฐบาลแถลง พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”นายสนั่น กล่าว

ด้านนายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากให้เทียบคณะรัฐมนตรี ชุดปัจจุบันกับชุดที่แล้ว ชุดนี้น่าจะใสกว่า นอกจากนี้ การที่ ส.อ.ท. ได้เข้าพบกับนายกฯ ได้มีการนำเสนอในหลายเรื่อง เช่นเรื่องของค่าไฟฟ้า ซึ่งภาครัฐก็ได้สนองตอบ โดยค่าไฟฟ้าที่ภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องจ่ายราว 3-4 หมื่นล้านบาท ก็ได้รับการจ่ายคืนแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้เอกชนมีกระแสเงินสดและการทำธุรกิจคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณรัฐบาลด้วย

เพิ่มเพื่อน