ปตท.โกยกำไรครึ่งปี 6.4 หมื่นล้านบาท โต 34%

ปตท.โกยกำไรครึ่งปี 6.4 หมื่นล้านบาท โต 34% สะท้อนกลุ่มปิโตรเคมี-การกลั่นน้ำมันโต จับตาปรับแผนธุรกิจ ส่งอินโนบิก หาพาทเนอร์ร่วมทุน พร้อมเขย่ากลุ่มอีวี มุ่งเน้นการพัฒนาสถานีชาร์จเป็นหลัก ลั่นสิ้นปีนี้เห็นเงินลงทุน 5 ปี

20 ส.ค. 2567 – นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 มีกำไร 35,469 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.4% จากงวดเดียวกันปี 66 ที่มีกำไร 20,107 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิจำนวน 64,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,475 ล้านบาท หรือ 34.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 47,962 ล้านบาท จากกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) 115,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,709 ล้านบาท หรือ 24.5% ประกอบกับในครึ่งปีแรกมีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 10,000 ล้านบาท

“ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานเติบโตมาจากกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิต และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี รวมถึงค่าการกลั่นและกำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายการพิเศษที่เพิมกำไร โดยเป็นกำไรจากธุรกิจ ไฮโดรคาร์บอน 92% และธุรกิจ นอน-ไฮโดรคาร์บอน 8% โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2567 ที่ 0.80 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับภาษีเงินได้ ปตท. และบริษัทในเครือ นำเงินส่งรัฐรวม 35,684 ล้านบาท”นายคงกระพัน กล่าว

ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจต่อไปของ ปตท. ต้องพิจารณาในกลุ่มนอน-ไฮโดรคาร์บอน โดยจะประเมิน 2 มุมคือ 1.ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ 2.ต้องมีจุดแข็ง ต่อยอดได้ และมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง โดยมีแนวทางการลงทุนของ 3 กลุ่ม ดังนี้ 1.ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอีวี ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า(ชาร์จจิ้งสเตชั่น) และจะมีการควบรวมแบรนด์ต่างๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. (บริษัท อรุณพลัส จำกัด , บริษัท ฮอริษอน พลัส จํากัด บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด)และใช้ โออาร์ อีโคซิสเท็ม ที่มีอยู่ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์ 2.ธุรกิจโลจิสติกส์ ปตท. จะเน้นธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับคอร์ บิสซิเนส ของ ปตท. และมีความต้องการใช้มากที่สุด 3.ธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ ปตท. จะต้องพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน และสร้างประโยชน์ให้กับสังคม โดย บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด จะเดินหน้าหาพาร์ทเนอร์ เพื่อต่อยอดธุรกิจ ทั้งนี้มีความเป็นไปได้จะ IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เช่นกัน

“การตัดสินใจเรื่องธุรกิจยาไม่น่าจะเร็ว เพราะมองว่าเป็นกลุ่มที่เดินหน้าลำบาก ด้วยเนื้องานของ ปตท. ที่ต้องรับผิดชอบ เราก็จะต้องสปินออฟและปล่อยให้เขาไปหาพาทเนอร์ โดยเราจะเป็นเพียงผู้ให้ทุน ต้องเข้าใจว่าอินโนบิกมีรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างจาก ปตท. เยอะ ในอนาคตมีความท้าทาย หากจะโตจะต้องมีพาทเนอร์ ซึ่งการหาพาทเนอร์ขึ้นอยู่กับการเจรจา โดยเขาต้องดูว่าถ้ามาอยู่แล้วจะได้กำไรหรือไม่ ถึงจะลงทุนแต่ตามหลักการณ์ ปตท. จะไม่ได้ถือเท่าเดิม เป็นทุนใหม่ที่เข้ามา”นายคงกระพัน กล่าว

ปัจจุบันปตท.มีธุรกิจ 2 ส่วนหลัก คือ ธุรกิจไฮโดรคาร์บอน และธุรกิจนอน-ไฮโดรคาร์บอน โดยธุรกิจไฮโดรคาร์บอนที่เป็นคอร์บิสซิเนสของ ปตท. แม้ทำได้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทำควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก และต้องปรับตัวพร้อมรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยธุรกิจ อัพสตรีม แอนด์ พาวเวอร์ จะต้องเร่งขยายแหล่งสำรวจและผลิต ร่วมกับพาร์ทเนอร์ มีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา (OCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ส่วนธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าต้องสร้างความน่าเชื่อถือและลดคาร์บอนให้กับกลุ่ม ปตท. ด้านธุรกิจดาวน์สตรีมต้องปรับตัว ร่วมกับพาร์ทเนอร์ ขณะที่ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกนั้นจะมุ่งหน้าเป็นโมบิลิตี้พาร์ทเนอร์ของคนไทย รักษาการเป็นผู้นำตลาด

นายคงกระพัน กล่าวว่า นอกจากนี้ ปตท. มีแผนการสร้างสมดุลอีเอสจี ให้เหมาะสมกับองค์กร ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมายเน็ตซีโร่ โดยจะผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจน และการดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (คาร์บอน แคปเจอร์ สตอเรจ : ซีซีเอส) โดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. โดยต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน และมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัท ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมี ปตท. ดูภาพรวม

“ด้านวงเงินลงทุนตามกลยุทธ์ใหม่ ทั้งช่วง1ปี และ5ปี(2568-72) จะมีการสรุปอย่างเป็นทางการสิ้นปีนี้ โดยจะมีความชัดเจนงบลงทุนในแต่ละธุรกิจขณะที่ปีนี้งบลงทุนประมาณ 25,000 ล้านยังเดินตามแผน ส่วนกำไรจะถึง 100,000 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมาหรือไม่ต้องขอติดตามอีกครั้ง “นายคงกระพัน กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เฮ นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เข้าไทยทะลุ 22 ล้านคน

‘เสริมศักดิ์’ โชว์ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เข้าไทยทะลุ 22 ล้านคน จีนครองแชมป์ 4.55 ล้านคน สร้างสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 1 ล้านล้านบาท

รฟท.ขยายเวลาลดค่าบริการจอดรถสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ถึง 15 ก.พ.68

‘การรถไฟฯ’เดินหน้าช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ปรับลดค่าบริการจอดรถชั้นใต้ดินสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึง 15 ก.พ.68 ให้จอดฟรี 30 นาที ชั่วโมงที่ 1-2 เริ่ม 15 บาท

เซ็นทรัลเวิลด์จัดงาน 'Mooncake Fest 2024' ดึงนักช้อปเชื้อสายจีน หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส3

เซ็นทรัลเวิลด์จัดงานใหญ่ Mooncake Fest 2024 ดึงดูดนักช้อปเชื้อสายจีนจากทั่วโลก หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 3 พร้อมเพิ่มช้อปออนไลน์รับส่วนลดสุดคุ้ม ตั้งแต่วันนี้ ถึง 17 ก.ย. 67

สภาผู้บริโภคเผย 3 ปี พบคนไทยเสียหายจากภัยออนไลน์สูงถึง 65,000 ล้านบาทต่อปี!

สภาผู้บริโภคเผย 3 ปี พบคนไทยเสียหายจากภัยออนไลน์สูงถึง 65,000 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 180 ล้านบาทต่อวัน ครึ่งแรกปี 2567 สถิติร้องเรียนสูงถึง 1,386 กรณี จากช่องทางเฟสบุ๊คสูงสุด เตรียมเปิดเวทีสัมมนาใหญ่ “โครงการสานพลังอาเซียนบวกสาม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในเศรษฐกิจดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์” ครั้งแรกในอาเซียน อัพเดทกลโกง ถกหาความร่วมมือที่เข้มแข็ง 29-30 ส.ค.นี้

กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 34.30-35.00 จับสัญญาณเฟด

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเมินเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.30-35.00 บาท/ดอลลาร์ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 35.03 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 34.84-35.19 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือน และปรับตัวผันผวนตามสถานการณ์การเมืองในประเทศรวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ