ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ

หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และแสดงธรรมครั้งแรกต่อปัญจวัคคีย์ทั้ง5 ที่ป่าอิสปมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณาสี เช้ามืดวันหนึ่งในเวลาต่อมา ขณะเดินอยู่ในป่า ก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพําว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ด้วยญานของพระองค์จึงรู้ว่า เจ้าของเสียงคือ ยสะ ลูกชายเศรษฐีเมืองพาราณาสีที่กําลังตกใจกับความเป็นจริงของโลกหลังตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นข้าทาสบริวารที่เป็นสตรีนอนกันอีเหละเขะขะ ไม่สวยงาม เหมือนที่พระองค์เองเคยประสพเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ จึงกล่าวตอบเสียงบ่นว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง และชวนให้ยสะนั่งลงรับฟังธรรมจากพระองค์ บทธรรมที่แสดงพูดถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงตัณหาและสิ่งเย้ายวนใจ การใช้ชีวิตอย่างมีศีล และจบด้วยธรรมอริสัจ 4 ว่าด้วยทุกข์และวิธีการดับทุกข์

ในหนังสือชื่อ Buddha หรือ พระพุทธเจ้า เขียนโดย เคเรน อามร์สตรอง (Karen Armstrong) ผู้เขียนอธิบายว่า ยสะรับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าอย่างเต็มจิตใจ เปรียบเหมือนผ้าสะอาดที่เมื่อรับสีย้อมผ้าเข้าไปก็จะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวแยกไม่ออก เป็นธรรมที่ยสะได้รับตรงจากพระพุทธเจ้าและบรรลุพระโสดาบัน จากนั้นก็บวชเป็นพระภิกษุรูปที่หกในพระพุทธศาสนาต่อจากห้าปัญจวัคคีย์

โลกเราทุกวันนี้มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความขัดข้องมากจริงๆ ทั้งในประเทศเราและในต่างประเทศ เป็นความวุ่นวายที่เกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ ที่คนในสังคมสร้างขึ้นเพราะกิเลส ตัณหา และความต้องการที่ไม่จบสิ้น เกิดเป็นความขัดข้อง เป็นความผิดปกติที่กระทบความเป็นอยู่และจิตใจของผู้คนที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นำไปสู่ความไม่สงบและความวุ่นวายใจของคนในสังคม

ความวุ่นวายและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในต่างประเทศที่กระทบความเป็นอยู่ของคนทั้งโลกขณะนี้มีมาก เริ่มจาก หนึ่ง สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่เข้าปีที่สามและไม่มีใครบอกได้ว่าจะจบอย่างไร แต่ที่แน่ๆมีผู้เสียชีวิตจากสงครามนี้ไปแล้วกว่า 8 หมื่นคน และชาวยูเครนกว่า 12 ล้านคนได้อพยพออกนอกประเทศเพื่อหนีภัยสงคราม นี่คือความสูญเสีย

สอง ความขัดแย้งระหว่างฮามาสกับอิสราเอล ที่ได้ยกระดับเป็นการสู้รบระหว่างฮามาสร่วมกับกลุ่มสนับสนุนเช่นฮิซบุลลอฮ์ กับอิสราเอล และกําลังจะขยายเป็นสงครามเต็มรูประหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่สนับสนุนกลุ่มฮามาสและฮิซบูลลอฮ์ รอแต่เพียงท่าทีและความชัดเจนจากสหรัฐที่สนับสนุนอิสราเอลและซาอุดิอาระเบียที่เป็นประเทศใหญ่ ซึ่งถ้าสงครามเกิด ความรุนแรงจะมาก

สาม การประท้วงคนต่างถิ่นที่เข้ามาอาศัยในประเทศ (Anti-Migration) ในยุโรปที่รุนแรง เช่นที่ อังกฤษ ไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอาจขยายไปประเทศอื่นๆที่ประชาชนไม่สนับสนุนการรับเข้าผู้อพยพ เช่น สวีเดน เดนมาร์ก เยอรมันนี นอร์เวย์ และตุรกี ประเด็นนี้จะสร้างความวุ่นวายให้กับโลกมากถ้าสถานการณ์บานปลายเพราะมีโอกาสสูงที่จะยืดเยื้อ จากที่ประชากรที่เป็นผู้อพยพทั่วโลกมีมากกว่า 280 ล้านคน

สี่ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนจากที่สหรัฐมองว่าจีนท้าทายความเป็นมหาอํานาจของสหรัฐ ซึ่งประวัติศาสตร์บอกชัดเจนว่าความขัดแย้งในลักษณะนี้มักจบด้วยสงคราม ณ จุดนี้ความขัดแย้งได้จุดชนวนภูมิศาสตร์การเมือง การแบ่งแยกทางเศรษฐกิจ และการสิ้นสุดของระบบโลกาภิวัตน์

ห้า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจจีนที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกัน ทําให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนมาก และหก ภาวะโลกร้อนที่กระทบคนมากกว่าครึ่งโลกและจะรุนแรงเป็นมหาภัยพิบัติต่อมนุษยชาติถ้าประเทศในโลกไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหา

นี่คือความวุ่นวายและความขัดข้องในโลกขณะนี้ มีทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

สำหรับประเทศเราที่นี่ก็วุ่นวายและขัดข้องเหมือนกันทั้ง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในทางเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ขณะนี้ต้องยอมรับว่าความเป็นอยู่ลำบาก คนส่วนใหญ่ไม่มีรายได้พอใช้จ่ายจากที่เศรษฐกิจไม่โต และเครื่องยนต์เศรษฐกิจทุกตัวดูเหมือนจอดสนิท ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การส่งออก การใช้จ่ายภาครัฐ จะมีก็การท่องเที่ยวที่พอจะเป็นรายได้ให้กับคนบางกลุ่มแต่ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต สําหรับรัฐบาลที่ประชาชนหวังพึ่ง ผ่านมาหนึ่งปีก็ชัดเจนว่าไม่มีผลงาน เศรษฐกิจยังแย่ เพราะรัฐบาลมาจากการรวมตัวของพรรคการเมืองตามความต้องการทางการเมืองไม่ใช่เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาประเทศ จึงเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่รู้จริง และในสายตาประชาชน ไม่มีความชอบธรรมที่จะทำงาน

สำหรับการเมือง ยังเป็นเกมชิงอํานาจ เพื่อกุมอํานาจรัฐหาประโยชน์และปกป้องตนเองจากคดีและความผิดในอดีต รวมถึงรักษาสถานะที่มีอยู่ตามความต้องการของกลุ่มทุนที่สนับสนุน ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่นักเลือกตั้งและผู้มีอำนาจไม่สนใจ

ที่ต้องตระหนักคือ องค์ประกอบอำนาจรัฐคราวนี้มาจากการแชร์อํานาจของคนที่เป็นศัตรูกัน ทำให้หวังยากว่าเศรษฐกิจและทุกอย่างจะดีขึ้น ตรงกันข้าม เมื่อมีอํานาจมากและต่างคนต่างอยู่ การละเมิดหรือใช้อำนาจในทางที่ผิดก็จะมาก เพราะไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ผลคือธุรกิจและประชาชนยิ่งเดือดร้อน เร็วๆนี้นักธุรกิจต่างประเทศบอกผมว่า ประเทศไทยนี่ยากเพราะทุกอย่างเป็นการเมืองหมด (Thailand is so difficult, everything is political) สําหรับประชาชนความเดือดร้อนสัมผัสได้ทุกวันจากเสียงโทรศัพท์ที่อาจถูกหลอกหรือถูกโกงเงินที่ภาคราชการดูไม่สนใจ

เห็นได้ว่าไม่ว่าจะต่างประเทศหรือในประเทศเรา ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอจริงๆ เหมือนความมืดได้เข้ามาปกคลุม สิ่งที่ฉุกคิดขึ้นขณะเขียนบทความนี้ก็คือ ถ้าความวุ่นวายในต่างประเทศเลวร้ายลงสุดๆ เกิดเป็นสงครามใหญ่และหรือเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยรุนแรงเหมือนปี 1930s ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศเราจะมีภาวะผู้นำ ความรู้ ประสพการณ์ และความจริงใจที่จะดูแลผลประโยชน์ของชาติหรือไม่ เราจะทะเลาะกันอยู่หรือไม่ และเราจะมีใครหรือไม่ที่พูดแล้ว คนทั้งประเทศพร้อมเดินตาม

เมื่อฟ้าสาง เศรษฐีผู้เป็นพ่อก็รู้ว่าลูกชายตนหายไปจึงออกตามหา เดินตามรอยรองเท้าของยสะเข้าไปในป่าและได้พบพระพุทธเจ้า พระองค์บอกเศรษฐีว่าท่านจะได้พบลูกชายในไม่ช้า อยากให้นั่งลงและฟังธรรมจากพระองค์ก่อน ซึ่งธรรมที่แสดงก็เป็นบทเดียวกับที่ยสะได้รับ เมื่อฟังธรรมจบเศรษฐีพูดว่า ธรรมของท่านประเสริฐและชัดเจน เหมือนตะเกียงที่ให้แสงสว่างกับความมืด ทําให้ถูกต้องในสิ่งที่ผิดพลาดมานาน (Putting right something that has gone profoundly wrong) เศรษฐีผู้เป็นพ่อบรรลุพระโสดาบันเช่นกัน และถือเป็นอุบาสกคนแรกในพระพุทธศาสนา

ในการต่อสู้กับความวุ่นวายและความมืดที่เข้ามาปกคลุม ประเทศไทยเราก็ต้องการตะเกียงที่จะให้แสงสว่างให้ประเทศของเราออกจากความมืด และทําให้ถูกต้องในสิ่งที่ผิดพลาดมานาน เพื่อให้สังคมหมดความวุ่นวาย หมดความขัดข้องหรือความผิดปกติที่มี และเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งแสงสว่างสำคัญคือการตระหนักและยอมรับว่าพฤติกรรมของคนในสังคมต้องเปลี่ยน ทั้งในภาคการเมือง ภาคธุรกิจ และภาคราชการ โดยเฉพาะบุคคลในระดับสูงของประเทศที่มีหน้าที่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ที่ต้องเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนพฤติกรรม ลดกิเลส ลดตัญหาในอํานาจ ลดความอยากที่จะสะสมทรัพย์ด้วยการโกงกินแม้รู้ว่าผิด ลดการใช้อำนาจเพื่อหาประโยชน์ และสําหรับนักการเมือง ต้องบอกลูกบอกหลานว่า ของหลวงไม่ใช่ของฟรีสําหรับคนมีอำนาจ แต่เป็นสมบัติของชาติที่เมื่อมีอำนาจ นักการเมืองต้องรักษาไว้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและคนรุ่นหลัง

การเปลี่ยนพฤติกรรมเริ่มจากการมีสติ ทำให้รู้ผิดชอบชั่วดี คือ มีหิริโอติปะ แยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทําไม่ควรทํา อะไรคือประโยชน์ส่วนรวม อะไรคือประโยชน์ส่วนตน ที่ต้องไม่ปนกัน เมื่อคนระดับนำของประเทศแยกได้ ทําแต่ในสิ่งที่ถูก แสงสว่างก็จะเกิด ความถูกต้องในสิ่งที่ผิดพลาดมานานก็จะเกิดขึ้น นำสังคมออกจากความมืด ออกจากความวุ่นวายและความขัดข้อง เป็นสังคมที่ “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง” และมีสติที่จะตั้งรับกับอะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้นจากภายนอกและเข้ามากระทบ

เขียนให้คิด

ดร บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน