การบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรตามหลักธรรมาภิบาล

ภาคประชาสังคมโดยองค์กรไม่แสวงหากําไรคือภาคที่สาม หรือ the third sector ของระบบเศรษฐกิจ ต่อจากภาครัฐที่เป็นภาคที่หนึ่งและภาคธุรกิจที่เป็นภาคที่สอง เป็นภาคที่ทรงพลังเพราะประกอบขึ้นด้วยองค์กรหลากหลายประเภทที่ทั้งหมดทำงานหรือมีพันธกิจเพื่อส่วนรวมหรือสังคม ไม่ใช่เพื่อแสวงหากําไร อาทิเช่น มูลนิธิ สมาคม วัด สหกรณ์ สถาบัน องค์กรการกุศล และองค์กรหรือกองทุนที่จัดตั้งเพื่อพันธกิจทางสังคม เป็นภาคองค์กรประชาชนที่ใหญ่แต่ความสำคัญมักถูกมองข้าม

ปัจจุบันองค์กรเหล่านี้มีจำนวนมาก เช่น มูลนิธิและสมาคม มี 32,956 แห่งสิ้นปีที่แล้วจากรายงานของกระทรวงมหาดไทย วัดมี 42,626 แห่งตามรายงานของสํานักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งถ้ารวมจํานวนองค์กรไม่แสวงหากําไรประเภทอื่นๆ ตัวเลขรวมอาจเป็นระดับแสนหรือมากกว่า และที่ต้องตระหนักคือแม้ความหลากหลายในประเภทขององค์กรมีมาก แต่พันธกิจขององค์กรเหล่านี้จะเหมือนกันคือ ทําเพื่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มการให้บริการประชาชนในส่วนที่ขาดในสังคม การให้ความรู้และระดมพลังสังคมเพื่อแก้ปัญหา เช่น รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การช่วยหรือเสริมภาครัฐและภาคเอกชนในการทําหน้าที่และพัฒนาประเทศ ทั้งหมดเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนและคุณภาพสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งถ้าการทำหน้าที่ขององค์กรเหล่านี้ทุกองค์กรประสพความสำเร็จ ก็จะเกิดผลอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพของสังคม

มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล มองเห็นพลังและศักยภาพขององค์กรไม่แสวงหากำไรที่จะช่วยภาครัฐและภาคธุรกิจในการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ และเงื่อนไขสําคัญที่จะทำให้องค์กรไม่แสวงหากำไรเหล่านี้ประสบความสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ คือการบริหารจัดการที่ดีบนพื้นฐานของการทำงานที่เป็นระบบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีความรับผิดรับชอบในสิ่งที่ทํา และปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย ที่จะนําไปสู่ความไว้วางใจและการสนับสนุนของสังคม นี่คือการบริหารองค์กรตามหลักธรรมาภิบาล ไม่ต่างกับภาครัฐและภาคธุรกิจที่ต้องทำเช่นกัน

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพื่อสนับสนุนให้องค์กรไม่แสวงหากำไรในประเทศเรามีการบริหารจัดการที่ดี มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลได้เปิดหลักสูตร “การบริหารองค์กรไม่แสวงหากําไรตามหลักธรรมาภิบาล” เพื่อให้ความรู้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่องค์กรไม่แสวงหากำไรในเรื่องการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล เป็นหลักสูตรที่ออกแบบเพื่อองค์กรไม่แสวงหากำไรเป็นการเฉพาะ เพราะองค์กรไม่แสวงกำไรต่างกับบริษัทในภาคธุรกิจในทุกมิติ คือ ไม่มีเจ้าของเหมือนบริษัทเอกชน และเป้าประสงค์ขององค์กรคือการทำเพื่อสังคม ไม่ใช่เพื่อทำกําไรให้ผู้ถือหุ้นหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผู้ที่มาร่วมงานในองค์กรไม่แสวงหากำไร ที่มาเป็นกรรมการและผู้บริหารก็มาด้วยใจ คือสมัครใจมาช่วยงานเพื่อให้พันธกิจขององค์กรประสบความสำเร็จ ต่างกับบริษัทธุรกิจที่คนมาร่วมกันด้วยผลประโยชน์และสิ่งตอบแทน นี่คือความแตกต่าง และนี่คือพลังและจุดแข็งขององค์กรไม่แสวงหากําไร

หลักสูตรอบรมใช้เวลาสองวัน โดยเนื้อหาเน้นสามเรื่องที่สำคัญต่อการบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรตามหลักธรรมาภิบาลที่จะนําไปสู่การเติบโตและความยั่งยืนขององค์กร

หนึ่ง หลักธรรมาภิบาลขององค์กรไม่แสวงหากำไรและบทบาทหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหาร เข้าใจความแตกต่างในการทำหน้าที่กรรมการและผู้บริหารองค์กรไม่แสวงหากําไรเทียบกับการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทเอกชน หรือ รัฐวิสาหกิจ ประเด็นความท้าทายที่พบบ่อย เช่น ผลประโยชน์ขัดแย้ง กรรมการไม่เข้าใจหน้าที่และพันธกิจขององค์กร ทําให้ไม่สามารถผลักดันงานขององค์กรได้ การปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย รวมถึงความรับผิดทางกฎหมายของกรรมการ

เรื่องที่สอง ฐานะทางการเงินที่มั่นคง โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ระบบงานด้านการเงินที่องค์กรควรมี เช่น ระบบบัญชี ระบบการควบคุมภายใน การตรวจสอบจากภายนอก การกำกับดูแลเรื่องการเงินโดยกรรมการ การมีบุคคลากรด้านการเงินที่เหมาะสม ระบบการบริหารความเสี่ยงขององค์กร และ ธรรมาภิบาลหรือแนวปฏิบัติที่ดีในการระดมทุน หรือ Fund raising

เรื่องที่สาม คือความยั่งยืน ซึ่งมาจากการบริหารองค์กรอย่างมีธรรมาภิบาล ที่ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความไว้วางใจและสนับสนุนงานขององค์กร บวกกับความยั่งยืนทางการเงินที่มาจากการวางแผนการระดมเงินและใช้เงินที่รัดกุม มีการจัดทำงบการเงินประจําปีอย่างมีวินัย และมีภาวะผู้นำในระดับคณะกรรมการซึ่งเป็นจุดสูงสุดขององค์กรที่เข้าใจพันธกิจขององค์กรเป็นอย่างดี นําไปสู่ยุทธศาสตร์และแผนงานที่จะทําให้การทําหน้าที่ขององค์กรประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมาย

การอบรมครั้งแรกจัดที่ศูนย์ฝึกอบรม ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 และ 21 กรกฎาคมโดยธนาคารแห่งประเทศไทยให้การสนับสนุนสถานที่อบรม มีผู้เข้าอบรมทั้งหมด 31คน จาก 18 องค์กร เช่น สภากาชาดไทย สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส สวนโมกข์กรุงเทพ ไทยพีบีเอส สยามสมาคม สมาคมตราสารหนี้ไทย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) สมาคมธุรกิจเพื่อสังคม สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และสหกรณ์ออมทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น การอบรมผ่านไปดีมาก ผู้เข้าอบรมชอบและชื่นชม เห็นว่าเป็นประโยชน์และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีงามในภาคประชาสังคมที่มีหลักสูตรแบบนี้สำหรับการบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไร

มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลขอขอบคุณทีมงานและทีมวิทยากรที่ทรงความรู้และคุณภาพที่สมัครใจมาร่วมพัฒนาหลักสูตรและทําการสอนด้วยตนเองแบบจิตอาสาโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ได้แก่ คุณธีระชัย เชมนะสิริ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คุณสมถวิล ปธานวนิช โรงพยาบาล เมดปาร์ค คุณคามิลล์ มา อดีตกรรมการสยามสมาคม คุณเทวัญ อุทัยวัฒน์ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิเบอร์ลินสายฝน คุณนฤมล สิงหเสนีและคุณธินา สิงห์สัจจะ วิทยากร มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล และ คุณอาดา อิงคะวณิช กรรมการมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ท้ายสุด ต้องขอขอบคุณเป็นพิเศษ บุคคลตัวอย่างในภาคองค์กรไม่แสวงหากําไรที่สนับสนุนมูลนิธิในการจัดทำหลักสูตรและอนุญาตให้นำบทสัมภาษณ์การบริหารจัดการองค์กรไม่แสวงหากำไรและความสําคัญของธรรมาภิบาล มาแชร์ในการเรียนการสอน คือ คุณวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง คุณหญิง ชฎา วัฒนธรรมศิริธรรม กรรมการสภากาชาดไทย คุณพิไลพรรณ สมบัติศิริ นายกสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ และคุณวิเชียร พงศธร ประธานมูลนิธิเพื่อคนไทย และประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย)

มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลจะจัดหลักสูตรอบรม “การบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรตามหลักธรรมาภิบาล” ครั้งต่อไป ในวันเสาร์อาฑิตย์ที่ 31 สิงหาคม และ 1 กันยายน ก็อยากเชื้อเชิญประธาน กรรมการ และผู้บริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรที่สนใจสอบถามรายละเอียดและวิธีการสมัครเข้าอบรมได้ที่ https://shorturl.at/tVxSM ก็หวังว่าจะได้พบกันและได้ทำงานในภาคองค์กรไม่แสวงหากำไรร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประเทศและสังคม

เขียนให้คิด

ดร บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

[email protected]

เพิ่มเพื่อน