กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ร่วมกับ BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำของโลก อัปเดตมุมมองเศรษฐกิจและเทรนด์การลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ในงานสัมมนา Mid-Year Investment Outlook 2024: Seizing Opportunities in a Shifting World จัดขึ้นสำหรับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง และ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ โดยสรุปว่าสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังยังคงผันผวนต่อเนื่องจากความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามคาดว่า FED จะยังลดอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในปีนี้
16 ก.ค. 2567 – นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจ และทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสูงสามารถรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้ดี สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา อาจมีปัจจัยในการขับเคลื่อนไม่มาก อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 สืบเนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าสถานการณ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่สะท้อนต่อกำไรในอนาคต
ทั้งนี้ แนะนำ 7 ธีมการลงทุนดาวเด่นที่เป็นจุดแข็งของตลาดหุ้นไทย ได้แก่
1. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว โดย SET Well-Being Index ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 บริษัท จาก 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ การท่องเที่ยวและสันทนาการ การเกษตร ขนส่งและโลจิสติกส์ แฟชั่น การแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม และพาณิชย์
2. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค การพาณิชย์ และอาหารเครื่องดื่ม
3. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ซึ่งภาครัฐมีนโยบายต่างๆ ออกมา ทั้ง Free VISA รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งภาคธุรกิจที่จะได้รับปัจจัยบวก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและยานยนต์ อุตสาหกรรมโลหะและวัสดุ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตร และอาหาร
4. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการส่งออกโดยจะเห็นว่าผลตอบแทนของ SET Global Big Cap และ SET Global Mid & Small Cap ค่อนข้าง Outperform ราว 50-60% ส่วน SET Global Large Cap ผลตอบแทน Outperform ตลาด ราว 10%
5. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน แม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวมากในลักษณะ K-Shape แต่หุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ถือว่าปรับตัวดี
6. ธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ในตลาด SETHD มีมากกว่า 30 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง จ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งหากนักลงทุนเลือกพอร์ตหุ้นที่เหมาะสม พอร์ตการลงทุนก็จะ Outperform ได้
7. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ New Economy ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนถึง 165 บริษัท ที่อยู่ใน Sector ใหม่ๆ อาทิ ดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจด้านสุขภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเพื่อการบริโภคที่ใช้นวัตกรรม และยานยนต์สมัยใหม่
นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงประเด็นเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน โดยในปีนี้ จำนวนหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Thai ESG จะเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนมีโอกาสและตัวเลือกเพิ่มขึ้น และหากเปรียบเทียบบริษัทจดทะเบียนในเวทีโลกแล้วจะพบว่า มีบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยจำนวนมากเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนระดับโลก
ด้าน Mr. Jonathan Reoch, Managing Director of BlackRock ได้สะท้อนมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกและโอกาสการลงทุนครึ่งหลังของปีนี้ไว้ 3 ด้านดังนี้ 1. ความเสี่ยงจากภาพรวมเศรษฐกิจโลก (Macro Risk) จะมีมากขึ้น แม้ว่าหลายคนมองว่า FED จะมีการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในปีนี้ แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอดีต ประกอบกับเงินเฟ้อที่ลงช้า และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้บริบทของการลงทุนเปลี่ยนไป 2. ด้วยสภาวะที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง จึงต้องหันมาสร้างสมดุลในพอร์ตให้มากขึ้น เน้นกระจายการลงทุนแบบ Dynamic มีความยืดหยุ่นเพื่อรับมือความผันผวน และมีลงทุนแบบ Selective ที่เน้นผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดโดยรวม 3. ยังคงให้ความสนใจกับ Mega Trend ต่างๆ อาทิ AI เทคโนโลยี การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับเทรนด์ดังกล่าว
ทั้งนี้ Mr. Reoch ได้แนะนำกองทุนที่น่าสนใจท่ามกลางความผันผวนทั่วโลก นั่นคือ Global Unconstrained Equity หรือ KFGLOBAL ที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Unconstrained Approach เน้นลงทุนในบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว คัดเลือกหุ้นรายตัวโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ไม่ยึดติดกับประเภทหุ้น อุตสาหกรรม หรือดัชนีชี้วัด เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดทั้งช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ต่อปี) อยู่ที่ 14%
นายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้สรุปมุมมองการลงทุนของกรุงศรีผ่าน 5 ธีมหลัก พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ในแต่ละสถานการณ์ของตลาด ดังนี้
ธีมที่ 1 หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในระดับสูง (Higher for Longer) ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่กองทุน Money Market มากเป็นประวัติการณ์ แนะนำการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ KFSMART สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย หรือเลือกลงทุนในในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อาทิ BGF US Dollar Reserve Fund A2 USD ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5% เงินฝากประจำ FCD ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 5.1% ต่อปี หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Bullish Sharkfin Note, Twinwin Note และ Offshore Fixed Income
ธีมที่ 2 มองว่า FED มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า และคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว แนะนำการลงทุนใน PIMCO GIS Income Fund หรือ KF-CSINCOM ที่กระจายการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกและมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ
ธีมที่ 3 ในกลุ่มของ Global Equity มองว่าหุ้นกลุ่ม Defensive น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด หากเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง แนะนำ BlackRock World Technology Fund A2 USD หรือ KFHTECH ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีผลการดำเนินงานและอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งมีการเติบโตสูงและมีโอกาสได้รับการยกระดับเป็น Emerging Markets ดังนั้นกระจายการลงทุนไปในตลาดเวียดนามผ่านกองทุนที่น่าสนใจ อาทิ Principal VNEQ เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี
ธีมที่ 4 ลงทุนในกองทุน Private Equity เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงพอร์ต เนื่องจากมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ โดยแนะนำกองทุน KFGPE-UI บริหารจัดการโดย Schroders ที่มุ่งกระจายการลงทุนในหลายวัฏจักรธุรกิจของบริษัท
ธีมที่ 5 ลงทุนในกองทุน Private Credit อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน KFPCD-UI ที่บริหารจัดการโดย BlackRock
ด้านนายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด เผยภาพรวมตลาดหุ้นโลกยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยหากพิจารณาในรายภูมิภาคจะพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ซึ่งคาดการณ์ว่าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปลายปี 2567 นี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสแข็งค่าขึ้นจากนโยบายด้านการค้า ยิ่งส่งผลให้ตลาดมีโอกาสและความน่าสนใจ ขณะที่ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปยังมีความน่าสนใจจากปัจจัยเรื่องนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและราคาหุ้นยังคงมีราคาถูก ส่วนตลาดญี่ปุ่น สถานการณ์ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงจะเป็นตัวขับเคลื่อนภาพรวมของหุ้นญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความกังวลของนักลงทุน ขณะที่ตลาด Emerging Markets ภาพในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องรอจังหวะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาด
นอกจากนี้ ยังได้ให้มุมมองเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีว่า หุ้น Big Tech 5 ตัวแรก ได้แก่ MSFT, NVDA, AMZN, GOOGL และ META ได้รับการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นกว่า 38% สวนทางกับหุ้นอื่นๆ ที่ถูกปรับลงที่ -5% ท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเทรนด์ AI ซึ่งมองว่าจะเริ่มมีการขยับไปที่อุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำมากขึ้น เช่น Cybersecurity หรือ Software และได้แนะนำกองทุน KFHTECH ที่บริหารจัดการโดย BlackRock สร้างพอร์ตแบบ Core & Opportunistic Holding คือ ลงทุนกลุ่ม Core 40-50% ขณะที่ลงทุนในกลุ่ม Opportunistic 50-60% ด้วยน้ำหนักที่น้อย แต่จะกระจายการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาวที่ดีกว่า ผันผวนน้อยกว่า และผลตอบแทนสม่ำเสมอ และกองทุน KFGTECH ที่บริหารจัดการโดย T. Rowe Price ที่มีสไตล์การลงทุนแบบ Highly Active เปลี่ยนแปลงทุก 6 เดือน ซึ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าในช่วงที่ตลาดขาขึ้น
ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้สรุปมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทยไว้ว่า แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลง แต่เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว ทั้งสัญญาณการบริโภคของภาคครัวเรือนไทยที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัว จากตัวเลขของวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาในประเทศไทยอยู่ที่ 35.5-36 ล้านคนในปีนี้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว 17.5 ล้านราย จึงเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ด้วยมาตรการขยายระยะเวลา Free VISA จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้น ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2024 ของภาครัฐเริ่มมีแนวโน้มเร่งขึ้น ถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดการลงทุน โจทย์สำคัญคือ รัฐบาลจะต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง จึงต้องจับตาสถานการณ์การเมือง ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีปัจจัยเสี่ยงลดลง รัฐบาลมีเสถียรภาพจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,320-1,400 จุด แต่หากปัจจัยการเมืองในประเทศมีความผันผวนคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มจะลงไปแตะที่ฐาน 1,250-1,320 จุด
ทั้งนี้ แนะนำหุ้นที่ควรมีติดไว้ในพอร์ตสำหรับช่วงครึ่งปีหลังนี้คือ กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Data Center และกระแสของ 5G ธุรกิจค้าปลีก และเฮลธ์แคร์ แนะนำหุ้น Top Pick ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ได้แก่ True, MINT, GFPT, TU, KCE, HANA, WHA, CPALL, OSP, MTC