เร่งเครื่องอัปเกรดศักยภาพการบิน 'สุรพงษ์' ดัน บวท. ลุยโรดแมป5ด้านมุ่งสู่ฮับภูมิภาค

เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการให้บริการการเดินอากาศ และมุ่งสู่เป้าหมายพัฒนาและยกระดับศักยภาพด้านการบินของประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค โดยเดินหน้าปรับปรุงพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้ทันสมัย บริหารจัดการจราจรทางอากาศให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อำนวยความปลอดภัยแก่ทุกเที่ยวบิน และสามารถบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและศักยภาพของประเทศไทย

ดันไทยฮับการบินภูมิภาค

ล่าสุด สุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ได้ประกาศนโยบายขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทย และยกระดับศักยภาพด้านการบินของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด หรือ บวท. ได้นำเสนอแผนแม่บท (Roadmap) การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจราจรทางอากาศ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ประกอบด้วย 5 ด้าน ดังนี้ 1.การเพิ่ม/ขยายขีดความสามารถในการรองรับของสนามบิน 2.เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการห้วงอากาศและเส้นทางบิน 3.เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ 4.เพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ และการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน และ 5.เพิ่มประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ สายการบิน และสนามบิน

โดยแบ่งเป็น แผนพัฒนาระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งกระทรวงพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการต่างๆ และขับเคลื่อนการลงทุนและพัฒนาในทุกด้านเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการบินของประเทศ สนับสนุนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมให้ไปสู่เป้าหมาย สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างขีดความสามารถให้ประเทศชาติต่อไป

และยังเน้นย้ำให้วิทยุการบินฯ เตรียมความพร้อมระบบการบริหารจัดการจราจรทางอากาศใหม่ จัดเตรียมสถานที่สำหรับติดตั้งระบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งคาดจะมีเที่ยวบินประมาณ 2 ล้านเที่ยวบินในปี 2581 โดยให้เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ปรับปรุงเส้นทางบินและออกแบบห้วงอากาศให้เหมาะสม

รวมทั้ง นำแนวทางปฏิบัติการบริหารจัดการความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ หรือ ATFM มาใช้บริหารจัดการเที่ยวบินและเตรียมวางระบบบริหารจราจรทางอากาศสำรอง (Off-site Backup) ตามแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านบริการจราจรทางอากาศ เพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เป็นการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีระบบการบริหารจัดการจราจรทางอากาศที่มีศักยภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการบินของโลก ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จัดเส้นทางบินแบบคู่ขนาน

นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้ บวท.เร่งขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน โดยจัดสร้างเส้นทางบินใหม่ให้เป็น แบบเส้นทางบินคู่ขนาน หรือ Parallel Route รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเดินอากาศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการจราจรทางอากาศและปรับปรุงระบบเทคโนโลยี ปรับปรุงโครงสร้างห้วงอากาศ รวมถึงแนวทางบริหารจัดการให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวให้ได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

“วิทยุการบินฯ ได้เตรียมพร้อมยกระดับการให้บริการทุกด้าน โดยใช้ศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการบินที่มีอยู่ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างประโยชน์และความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้ประเทศชาติ ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub)” สุรพงษ์ กล่าว

สุรพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลไทยและจีนได้เห็นชอบข้อตกลงทวิภาคีในการยกเลิกข้อกำหนดด้านวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและหลายสายการบินได้กลับมาให้บริการในเส้นทางบินไทย-จีน อีกทั้งมีการขอเพิ่มเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ เช่น เฉิงตู ซึ่งล่าสุดสนามบินในประเทศไทยที่มีเที่ยวบินไป-กลับเฉิงตู ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุย ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามีเที่ยวบินไป-กลับเฉิงตู รวม 5,896 เที่ยวบิน และคาดการณ์ตลอดทั้งปี 2567 จะมีเที่ยวบินไป-กลับเฉิงตูรวม 8,850 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 265%

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสนามบินในประเทศไทยที่มีเที่ยวบินจากจีนมาทำการบิน ประกอบด้วย สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย และกระบี่ โดยมีทั้งเที่ยวบินขนส่งสินค้าและเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสาร ยกเว้นที่ดอนเมืองและสมุย มีตารางการบินล่วงหน้าสำหรับเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสารเท่านั้น

ดึงเทคโนโลยีบริหารจัดการเที่ยวบิน

ด้าน พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ประธานคณะกรรมการ บวท. กล่าวว่า วิทยุการบินฯ ได้เตรียมความพร้อมและกำหนดมาตรการให้บริการจราจรทางอากาศ ความพร้อมในการบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Flow Management) เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น และอำนวยความสะดวกให้กับทุกเที่ยวบินที่เข้ามาในน่านฟ้าไทยที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความปลอดภัยสูงสุด

ทั้งนี้ ได้เตรียมแนวทางวิธีปฏิบัติการให้บริการจราจรทางอากาศเพื่อรองรับการเพิ่มขีดความสามารถของสนามบิน ตามโครงการพัฒนาและขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ได้แก่ การเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองระยะไกล หลังที่ 1 หรือ SAT-1 และการใช้งานทางวิ่งเส้นที่ 3 ที่จะเปิดให้บริการในช่วงเดือนกันยายน 2567 รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานทางวิ่ง หรือ High Intensity Runway Operation (HIROs) ซึ่งเป็นการจัดระยะห่างของอากาศยานขาเข้าและขาออกให้ได้เทียบเท่าสนามบินชั้นนำของโลก ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินได้สูงสุดเท่าที่ขีดความสามารถของสนามบินจะรองรับได้

“บวท.นำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการเที่ยวบินขาเข้า คือ ระบบ Arrival Manager (AMAN) และการจัดการเที่ยวบินขาออกด้วยระบบ Intelligent Departure (iDep) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ และทำให้เที่ยวบินสามารถทำการบินได้ตรงเวลาตามตารางการบิน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินได้มากที่สุด” พิเชฐ กล่าว

อู่ตะเภาหนุนฮับการบิน

ขณะที่ ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. กล่าวเพิ่มเติมเรื่องการส่งเสริมความเป็นศูนย์กลางการบินว่า วิทยุการบินฯ ได้ดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระยะเริ่มต้น (Phase 0) เพื่อสนับสนุนการบิน มุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศจากเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเฉพาะเที่ยวบินจากจีน และการพัฒนาส่งเสริมให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในอนาคต และจะทำให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation

นอกจากนี้ได้นำแนวคิด Aerotropolis นี้จากต้นแบบคือ สนามบินนานาชาติเฉิงตู เทียนฟู่ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งการที่วิทยุการบินฯ ต้องให้บริการในระดับสากลจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรียนรู้ข้อมูล การพัฒนาเทคโนโลยี การบริหารจัดการสนามบินต่างๆ เพื่อพัฒนาบริการของวิทยุการบินฯ ในทุกด้านต่อไป

เพิ่มเพื่อน