'พิชัย' โอดเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ จ่ออัดฉีดเม็ดเงินดันลงทุนหวังปั๊มจีดีพี

 “พิชัย” โอดเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ รับส่งออกไม่เหมือนเดิม การผลิตตกต่ำ จ้างงาน-บริโภคลดลง แจงรัฐเร่งเข็นมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง เตรียมอัดฉีดเม็ดเงินดันลงทุน หวังช่วยปั๊มเศรษฐกิจโตได้ถึง 5% แจงหนี้พุ่งไม่น่าห่วง มองเป็นเสน่ห์การลงทุน

27 มิ.ย. 2567 – นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Thailand Invesment Opportunity ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญปัญหาหลายด้าน เช่น หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 90% ต่อจีดีพี ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาเจอสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้รัฐบาลต้องเร่งอัดฉีดเม็ดเงินข้าสู่ระบบจำนวนมาก ส่งผลให้หนี้ภาครัฐเพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 63% ต่อจีดีพี แต่ระดับดังกล่าวก็ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายวินัยการเงินการคลังที่กำหนดเพดานหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี

ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีของไทยในปี 2567 จะขยายตัวที่ระดับ 2.4-2.5% ส่วนปี 2568 คาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% โดยตัวเลขจีดีพีในปีนี้ยังมองว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะขยายตัวได้ถึง 3.5% ซึ่งเศรษฐกิจที่โตต่ำกว่าศักยภาพนั้น ต้องมีอะไรที่ทำให้เกิดความผิดปกติ ซึ่งหากพิจารณา จะเห็นว่า ไทยพึ่งพาการส่งออกมาก แต่ปัจจุบันการส่งออกไม่เหมือนเดิม ส่งออกได้น้อย ราคาไม่ดี ขณะที่ภาคการผลิตตกต่ำ การจ้างงานน้อย การบริโภคน้อยลง

นอกจากนี้ ไทยยังเจอปัญหาในเรื่องของผลิตและส่งออกได้น้อย และปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงไทยยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ประชากรในประเทศยังไม่เพิ่มมากนัก รวมถึงคนยังขาดทักษะในแรงงานที่มีความต้องการ

“หากขนาดเศรษฐกิจใหญ่ หนี้ก็ใหญ่ได้ หากอยากให้เปอร์เซ็นต์ของหนี้ ไม่เยอะ ก็มีทางเลือก คือ หาเงินไปใช้หนี้ กับทำให้ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้น คำตอบของเราไม่มีทางเลือก ต้องสู้กับชาวโลก ต้องแข่งขันได้ เพื่อให้หนี้เล็กลง ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่อยู่ไปแล้วหนี้ลดลง แต่หนี้มันจะดูเล็กลงเองเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องเร่งแก้ไข คือ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็ก รายกลาง ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยจะให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้ต่อกับธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ย 0.1% เท่านั้น เพื่อนำไปปล่อยให้กับผู้ประกอบการรายกลาง และเล็ก ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.5% ขณะเดียวกัน ในเร็ว ๆ นี้จะมีมาตรการดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาด้วย

ขณะที่ในระยะยาว รัฐบาลจะต้องเป็นคนอัดฉีดเงินผ่านการลงทุน ซึ่งจะทำให้หลายฝ่ายกังวลในเรื่องหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% ซึ่งยอมรับว่า บางฝ่ายอาจไม่เห็นด้วย แต่หากสามารถสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตได้มากถึง 5% การจะมีหนี้ที่เพิ่มขึ้น 75-80% อาจไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แม้ว่าหนี้ไม่ควรจะมีเยอะ แต่หนี้ก็อาจเป็นเสน่ห์ของการลงทุนด้วย

“ผมไม่ได้บอกว่าจะขยับเพดาน เพดานหนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจขณะนั้น แต่ปัจจุบันยังคงไว้ที่ 70% ยังไม่ได้มีแนวคิดอะไรที่จะขยายในตอนนี้ แต่หากในอนาคตเศรษฐกิจขยายตัว มีโอกาสที่จะลงทุนได้มาก มีความเชื่อมั่นว่าจะเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ การลงทุนที่เกิดจากการใช้ประโยชน์จากหนี้ก็ไม่ได้น่ากลัว วันนี้ด้วยนโยบายยังอยู่ที่ 70% ยังไม่เห็นเหตุการณ์ที่เราจะไปเกินระดับนี้ หรือเหตุผลอะไร หากมีโอกาสเยอะ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ยังไม่ถึงเวลา หากเราโตได้ต่อเนื่องก็ไม่ได้น่ากลัว” นายพิชัย กล่าว

เพิ่มเพื่อน