“แบงก์ชาติ” ยันมาตรการ LTV ไม่ใช่ต้นตอปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ชี้มีการทบทวนความเหมาะสมอยู่ตลอด พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 67 โตแน่ 2.6% อุปสงค์-ท่องเที่ยว-เบิกจ่ายภาครัฐช่วยกระทุ้ง ส่วนปีหน้าลุ้นโต 3%
26 มิ.ย. 2567 – นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขอให้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์ในมาตรการ LTV ว่า ธปท.มีการทบทวนความเหมาะสมของมาตรการอยู่ตลอด และเห็นว่ามาตรการ LTV ไม่ใช่ต้นตอของปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบัน LTV สำหรับกลุ่มบ้านหลังแรกที่ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท กำหนดไว้สูงสุด 110 % โดยกู้ได้ไม่เกิน 100% และ Top up ไม่เกิน 10% และบ้านราคามากกว่า 10 ล้านบาทกำหนด LTV ที่ 90% ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ใช่จุดที่เป็นปัญหา และผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนี้
นางสาวปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ราว 2.6% จากอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้งภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะอยู่ที่ 35.5 ล้านคน รวมทั้งแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐ ที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 เริ่มมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ทำให้ภาครัฐสามารถเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณได้มากขึ้น อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในภาคการผลิต และการส่งออกบางหมวดสินค้า แต่ยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการในระยะต่อไป
สำหรับภาคการส่งออกในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.8% โดยสินค้าส่งออกที่ยังมีอนาคตดี ได้แก่ สินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (ไม่รวมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ) แต่การส่งออกสินค้าในกลุ่มยานยนต์ และ solar cells ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติม ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่การฟื้นตัวของแต่ละกลุ่มสินค้ายังไม่เท่ากัน เนื่องจากปัจจัยเชิงวัฎจักรและปัจจัยเชิงโครงสร้าง ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ, สิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่ม, ปิโตรเคมี และเหล็กขั้นมูลฐาน เป็นต้น
“ธปท.ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในแต่ละไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จะทยอยฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ 1.5% โดยคาดว่า เศรษฐกิจไตรมาส 2 จะขยายตัวได้ราว 2% ส่วนไตรมาส 3 ขยายตัวได้ราว 3% และไตรมาส 4 จะขยายตัวได้ราว 4% และคาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.0% ใกล้เคียงกับระดับศักยภาพ ขณะที่การส่งออก คาดว่าขยายตัวได้ 2.6%” นางสาวปราณี กล่าว
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวถึงสถานการณ์เงินเฟ้อของไทยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) มีแนวโน้มทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับที่มากกว่า 1% โดยทั้งปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อจะเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6% ส่วนปี 2568 อยู่ที่ 1.3% และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมาย พร้อมมองว่า กรอบเงินเฟ้อที่ 1.3% ช่วยยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินในภาพรวม จะต้องมีการผสมผสานเครื่องมืออย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด อีกทั้งช่วยลดการพึ่งพาเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งมากเกินไป จนอาจสร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ พร้อมย้ำว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันที่ 2.50% มีความสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ รวมทั้งยังเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว
ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอเรื่องการปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อให้สูงขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 1-3% เพื่อให้มีพื้นที่มากขึ้นในการทำนโยบายการเงินนั้น นายสุรัช ระบุว่า เรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ต้องระวัง โดยที่ผ่านมา ระดับราคาสินค้าได้เพิ่มขึ้นมากแล้วตั้งแต่หลังโควิด-19 การจะปล่อยให้เงินเฟ้อต่อปีสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จะเป็นการทำลาย Disposable income ของครัวเรือน เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไทย มีทั้งกลุ่มเปราะบาง มีทั้งภาคธุรกิจ ถ้าต้นทุนสูงขึ้น จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ smooth เท่าที่ควร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพึงระวังในระยะยาว
“นโยบายการเงินของไทย มีความตั้งใจจะรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่งที่ผ่านมา กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อนี้ทำหน้าที่ได้ดี หากเราไป trigger ก็จะทำให้หลุดลอยไปจาก regime ของเราที่ดีอยู่แล้ว และเงินเฟ้อในปัจจุบันก็มีแนวโน้มที่จะเข้าเป้ากรอบเป้าหมายอยู่แล้ว dynamic ของเงินเฟ้อระยะสั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมีช็อคต่าง ๆ เข้ามาได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะปานกลางของเรายังอยู่ในเกณฑ์ดี กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ยังทำหน้าที่ได้ดี” นายสุรัช กล่าว