บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ มั่นใจรายได้ปีอยู่ที่ 2,783 ล้าน หลังความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าในประเทศพุ่งไม่หยุด เผยกำไรไตรมาส 1/67 แตะ 96.28 ล้าน เตรียมขยายการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรป รองรับออเดอร์ในอนาคต
26 มิ.ย. 2567 – นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยว่า ถิรไทยถือเป็นผู้นําตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ โดยในปี 2567 นี้ บริษัทประเมินว่าธุรกิจจะสร้างรายได้ประมาณ 2,783 ล้านบาท
สำหรับรายได้หลักมาจาก 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) รวมถึงบริษัทเอกชนทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,130 ล้านบาท รวมถึงการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก 340 ล้านบาท และรายได้จากฝั่งธุรกิจการให้บริการ 120 ล้านบาท ส่งผลให้การรับรู้รายได้ฝั่งหม้อแปลงไฟฟ้าเฉลี่ยมูลค่า 2,590 ล้านบาท ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง หรือ Non-Transformer เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม, รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้าคาดว่าจะทำรายได้ 193 ล้านบาท
นายสัมพันธ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น TRT ได้ส่งออกไปยัง Southeast Asia เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือ ศรีลังกา ซึ่งในระยะยาว เรามีแผนส่งออกไปประเทศในยุโรปและ อเมริกา โดยเฉพาะอเมริกา ซึ่งตอนนี้มีการเร่งปรับปรุงไฟฟ้าในประเทศ และมีเร่งการนําเข้าหม้อแปลงจากต่างประเทศ ซึ่งเราได้ประโยชน์จากตรงนี้เช่นกัน คาดว่าตลาดส่งออกของเราจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันยอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 67 อยู่ที่ 1,770 ล้าน โดยไฮไลต์สำคัญ คือ งานหม้อแปลงขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างผลิตให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทมีงานประมูลและเสนอราคาทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 15,271 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จสร้างเป็นยอดขายและรายได้ประมาณ 20%
นายกานต์ วงษ์ปาน เลขานุการบริษัท และผู้จัดการฝ่ายการเงินบัญชีและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1/2567 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.67 บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 96.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131.45 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดบัญชีเดียวกันของปี 66 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 35.16 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยบวกที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่งขึ้นถึง 131.45 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการขาย 750.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 395.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 111.10% เนื่องจาก บริษัทฯ มีการส่งมอบหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้ง หม้อแปลงไฟฟ้ากำลังและหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าภาครัฐ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการบริการ 46.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.52 ล้านบาท คิดเป็น 36.38% เนื่องจากเราได้มุ่งเน้นงานบริการหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
สำหรับกำไรขั้นต้นจากการขาย 29.79% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไร ขั้นต้นเท่ากับ 11.66% เนื่องจากในปี 2567 สถานการณ์ตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรขั้นต้นจากการบริการ 50.34% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 34.62% เนื่องจาก บริษัทฯ มีงานซ่อมหม้อแปลงเพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนงานซ่อมหม้อแปลงต่อหน่วยลดลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขาย 15.99 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2.33 ล้านบาท คิดเป็น 12.71% และ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 55.69 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 8.72 ล้านบาท คิดเป็น 13.53% ประกอบกับต้นทุนทางการเงิน 23.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.53 ล้านบาท คิดเป็น 69.57% ด้วยเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ภูมิธรรม’ ทุบฝ่ายต้านบิดเบือน MOU เกาะกูด ทำผลประโยชน์ชาติสั่นคลอน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "ผลประโยชน์ชาติสั่นคลอน เมื่อการเมืองบิดเบือน MOU เกาะกูด" ระบุว่าการจุดประเด็นทางการเมืองเรื่อง MOU 44 ในช่วงนี้ ได้สร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยในหลา
'วรงค์' เหนื่อยใจกับนายกฯอิ๊งค์ พูดวกวน เหมือนดีใจที่กัมพูชาลากเส้นไหล่ทวีปอ้อมเกาะกูด
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "เหนื่อยใจกับอุ๊งอิ๊ง"
'หมอวรงค์' ประกาศล่า 1 แสนชื่อคนคลั่งชาติ ยกเลิก 'MOU 44'
'ไทยภักดี' ประกาศล่า 1 แสนรายชื่อคนคลั่งชาติ ยกเลิก MOU 44 แนะรัฐคุยกัมพูชา ลงสัตยาบัน UNCLOS ก่อนเจรจาผลประโยชน์
'ท่านใหม่' ข้องใจ 'กต.' กรณีทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเลบริเวณเกาะกูด
มจ.จุลเจิม ยุคล หรือ "ท่านใหม่" โพสต์เฟซบุ๊กว่า "กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงการอ้างสิทธิทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ยืนยันไทยไม่เสียเกาะกูดแน่นอน ใช้