'พิชัย' ปรับเกณฑ์ 'Thai ESG' ปลุกตลาดหุ้น ขยายเพดานลดหย่อน3แสน ถือครอง5ปี ปิ๊งไอเดียลุยฟื้น 'กองทุนวายุภักษ์'

“พิชัย” ฟุ้ง 2 สัปดาห์เตรียมชง ครม. เคาะปรับเกณฑ์ TESG หวังปลุกความเชื่อมั่นสร้างแรงจูงใจตลาดทุน ลุยเบ่งเพดานลดหย่อนเพิ่มเป็น 3 แสนบาท ถือครองเหลือ 5 ปี พร้อมเพิ่มจำนวนหุ้น คาดสูญรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท รับปิ๊งไอเดียฟื้น “กองทุนวายุภักษ์” ปักธงปั้นรูปแบบ-ที่ดีและแข็งแรงขึ้น แจงเร่งทำงานเต็มสูบ เชื่อเป็นผลดีกับนักลงทุนและอีกหลายส่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกันแถลงมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ประกอบด้วย มาตรการส่งเสริมการออมและการลงทุน โดยเฉพาะ การปรับเงื่อนไขกองทุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในปัจจุบัน คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : TESG fund) ให้มีความน่าสนใจและสอดคล้องกับเป้าหมายในการสงเสริมให้เกิดการออม ผ่านการลงทุนในตลาดทุน และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ระดมทุนให้ความสำคัญกบความยั่งยืน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง กล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาการปรับเงื่อนไข TESG ได้ภายใน 2 สัปดาห์ โดยระหว่างนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณาและสรุปในรายละเอียดต่าง ๆ อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลา

นอกจากนี้ ภาครัฐยังศึกษาความสำเร็จของกองทุนรูปแบบอื่น อาทิ กองทุนวายุภักษ์ เข้ามาเสริมสร้างกลไกการออม การลงทุนให้กับประชาชนผ่านรูปแบบการลงทุนร่วมของภาครัฐ และการมีโครงสร้างผลตอบที่มีขั้นต่ำ ขั้นสูง การกำหนดลำดับของสิทธิการได้รับผลตอบแทนที่จะรองรับกลุ่มของผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกันอีกด้วย ร่วมกับการขับเคลื่อนและผลักดันการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในลักษณะอื่น ๆ เช่น การจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ในอนาคต และการพัฒนา Exchange-Traded Fund (ETF) รวมทั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนระยะยาว (Individual Saving Account) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น

“กระทรวงการคลังกำลังดูว่ารูปแบบจะเป็นอย่างไรที่ดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น โดยตอนนี้ได้เริ่มทำการบ้านแล้ว เริ่มดูข้อมูล ดูกฎหมายที่ออกมาว่าเราจะต้องทำงานเพิ่มอย่างไร หรือทำได้เลย ยอมรับว่าเรื่องกองทุนวายุภักษ์เพิ่งคิดได้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนถามว่าจะได้เห็นภายในไตรมาส 3 นี้เลยหรือไม่นั้น ยืนยันว่าจะพยายามให้มากที่สุด เพราะมองว่าเรื่องนี้เป็นผลดีกับนักลงทุนและหลายส่วน กำลังดูรูปแบบว่าจะเป็นอย่างไรเพื่อให้แข็งแรงและดีขึ้น” นายพิชัย กล่าว

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การปรับเงื่อนไข TESG นั้น จะมีการขยายวงเงินการนำวงเงินลงทุนไปขอลดหย่อนภาษีเงินได้ เป็นสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิมสูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท และปรับลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปีนับจากวันที่ซื้อ จากเดิม 8 ปี รวมทั้งยังปรับเพิ่มประเภทหุ้นยั่งยืนที่ TESG สามารถเข้าไปลงทุนได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนหุ้นอีกราว 200 หุ้น จากเงื่อนไขเดิมที่มีจำนวนหุ้นราว 128 หุ้น

“กองทุน TESG ที่เปิดขายเมื่อปลายปีที่แล้วเพียง 1 เดือน สามารถระดมเม็ดเงินได้ราว 6 พันล้านบาท แต่หลังจากการปรับเงื่อนไขใหม่ในครั้งนี้จะทำให้มีเวลาเปิดขายหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 เดือน จึงเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินที่เข้ามาสู่ตลาดทุนมากขึ้น ขณะที่เดียวกันคาดว่าหากมีผู้มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มเพดานตามจำนวน จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีราว 1.3 หมื่นล้านบาท” นางพรอนงค์ กล่าว

นอกจากจะส่งเสริมเม็ดเงินที่จะเข้ามาสู่ตลาดทุนแล้ว ทั้งเดินหน้ามาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน เพราะมาตรการขับเคลื่อนการลงทุนจะต้องควบคู่กับการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายในปัจจุบัน ทั้งจากการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ก.ล.ต. ร่วมกับ ตลท.และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) จึงผลักดันมาตรการต่าง ๆ และเร่งรัดให้เกิดการดำเนินการที่คำนึงถึงผลกระทบในหลายด้านอย่างรอบคอบ และให้มีการดำเนินการอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะดำเนินการได้ต้นเดือน ก.ล.ต.67

ขณะเดียวกันจะมีมาตรการต่าง ๆ ตามออกมาอย่างต่อเนื่องตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ เช่น มาตรการเพิ่ม Circuit Breaker รายหุ้น และเพิ่มมาตรการ Auction หุ้นที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขาย คาดว่าจะบังคับใช้ปลายเดือน ส.ค. 2567, มาตรการกำหนดวลาขั้นต่ำของ Order ก่อนที่จะสามารถยกเลิกได้ Minimum Resting Time อยู่ที่ 250 Millisecond และการเพิ่มคุณภาพการตรวจสอบ บล.ทั้งการทำ KYP การตรวจสอบหุ้นก่อนส่งคำสั่ง ธุรกรรม short / long sell คาดจะบังคับใช้ไตรมาส 3/2567 , Auto Halt หุ้นรายตัว ไตรมาส 1/2568 ,เพิ่มโทษสมาชิกกรณีที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์การขายชอร์ตและโปรแกรมเทรด ในไตรมาส 3/2567

อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. และ ตลท.จะติดตามผลของการดำเนินการและมีการทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้มั่นใจว่า พฤติกรรมการกระทำผิดในลักษณะที่เข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ (Market Misconduct) เมื่อเกิดขึ้นจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และระดับความรุนแรงของความผิดจะสูงขึ้นจากมาตรการที่ขับเคลื่อนครั้งนี้ รวมทั้งการกำหนดปรับปรุงค่าปรับจากการกระทำผิดที่สูงขึ้นและการปรับแก้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม

เพิ่มเพื่อน