'อินโนพาวเวอร์' สวมบทพี่เลี้ยง เพิ่มศักยภาพSMEไทยแข่งขันตลาดโลกลดคาร์บอนกว่า2ล้านตัน

บัจจุบันการตื่นตัวของธุรกิจและอุตสาหกรรมในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอน น่าจะเลยจุดที่สามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ก็ได้ มันเลยจุดนั้นไปแล้ว วันนี้ผู้ประกอบการและทุกคนอยู่ในจุดของการที่ต้องมีและต้องทำ ซึ่ง บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด นอกจากจะสร้างความตื่นตัวให้กับธุรกิจและอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีเป้าหมายที่ต้องขยายกระแสความตื่นตัวให้ลงสู่ประชาชนคนไทยทุกคน ที่ควรต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบการในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอน ภายใต้โจทย์ที่จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้การลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนไทย นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินโนพาวเวอร์ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมไทย ที่กำลังเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อและทางรอดของธุรกิจไทยในยุคของการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน (Energy Transition)

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อินโนพาวเวอร์ จำกัด ได้เปิดตัวโครงการ “พันธมิตรพิชิตคาร์บอน” หรือ Decarbonization Partner ผ่านการสร้างกระบวนการเรียนรู้ ให้คำปรึกษาและร่วมมือกับผู้ประกอบการธุรกิจในการร่วมประเมินการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซคาร์บอน ด้วยเครื่อง Glass House Gas Report : GHG Report) ซึ่งเป็นการประเมินการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนให้กับภาคธุรกิจ เนื่องจากมีการปล่อยคาร์บอนแตกต่างกัน

ซึ่งปัจจุบันกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำตะวันตกมองว่า การที่ยังคงปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนในปริมาณสูงเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นในทุกๆ ปี ดังนั้นมาตรการภาษี รวมถึงมาตรการกีดกันด้านอื่นๆ ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะมีแนวโน้มเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากธุรกิจอุตสาหกรรมใดก็ที่ยังไม่ปรับตัวหรือปรับตัวไม่ทันก็จะไปไม่รอด

นายอธิป กล่าวว่า อินโนพาวเวอร์ได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เตรียมความพร้อมให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รับมือกับกระแสกีดกันการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับสากล ที่จะส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจไทยทั้งในสถานะของการเป็นคู่ค้า รวมถึงธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจขนาดใหญ่ต่างชาติ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี และได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

โดยตั้งแต่ต้นปีมีผู้ประกอบการจาก สสว.เข้าร่วมโครงการแล้ว 80 ราย และบริษัทวางเป้าหมายจะขยายเพิ่มเป็น 100 ราย ในเร็วๆ นี้ด้วย ธุรกิจเหล่านี้นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์จาก สสว.แล้วยังได้เข้ารับการอบรมและประเมินการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของตนเอง โดยที่อินโนพาวเวอร์ได้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาพร้อมกับวาง Solution ในการบริหารจัดการเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนร่วมกันกับทางผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการด้วย

“ในปี 2567 อินโนพาวเวอร์ได้ร่วมมือกับสำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เข้าไปสร้างความตระหนักรู้และช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SME นำแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวไปปรับใช้ในธุรกิจ (Green Transformation) หลักสูตรแนวทางการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) โดยการใช้ GHG Platform ของสถานประกอบการ ซึ่งผลตอบรับดีมาก ในช่วง 5 เดือนได้เข้าไปสร้างความรู้ให้กับผู้ประกอบการ SME จำนวน  80 ราย สามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดช่วยลดคาร์บอนได้แล้ว 3,000 ตัน จากที่ปล่อยคาร์บอน 1 หมื่นตันต่อปี” นายอธิปกล่าว

นอกจาก สสว.แล้วอินโนพาวเวอร์ยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรธนาคารพาณิชย์อีกหลายแห่งที่กำลังตื่นตัวอย่างมาก และกำลังเข้าไปช่วยเหลือ รวมทั้งสนับสนุนให้ลูกค้าของธนาคารปรับตัวในการรับมือการเปลี่ยนแปลงและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจของตนเองด้วย

นายไชยรพี เลี้ยงบุญเลิศชัย Head of Strategic Partnership ผู้บริหารบริษัท อินโนเพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่า วันนี้ธนาคารเกือบทุกแห่งสามารถลดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนในธุรกิจของตนเองได้ตามเป้าหมายอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ธนาคารทุกแห่งตระหนักคือ การที่ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับลูกค้าของธนาคารในการลดปริมาณคาร์บอนให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง และมาตรการกีดกันคาร์บอนทางการค้าการลงทุนในระดับสากลด้วย ที่สำคัญมาตรการการเร่งรัดการปลดปล่อยคาร์บอนยังเชื่อมโยงมาสู่การกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องร่วมรับผิดชอบต่อการปล่อยสินเชื่อที่ต้องมีเป้าหมายในการร่วมลดปริมาณคาร์บอนด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีมาตรการจูงใจใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอินโนพาวเวอร์ได้สร้างปรากฏการณ์และความตื่นตัวให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมไทยได้มากทีเดียว โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารอินโนพาวเวอร์ระบุว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทสามารถลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนทะลุ 1,000,000 ตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าภายในปี 2567 น่าจะทะลุเป้าหมาย 2,000,000 ตันได้ไม่ยาก ทั้งนี้ อินโนพาวเวอร์ได้กำหนดเป้าหมายปริมาณการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ต้องนำมาประเมินผลความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในแต่ละปีด้วย

จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจไทยทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ต้องดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปลดปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง อีกทั้งความเคลื่อนไหวในไทยก็เข้มข้นไม่แพ้กัน ข้อร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จะมีผลบังคับใช้ และทางกระทรวงการคลังก็เตรียมจะมีการออกกฎหมายการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย Net Zero ซึ่งจะครอบคลุมถึง 14 อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอน มีมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 35% ของจีดีพีของประเทศ ซึ่งภาคธุรกิจจำเป็นจะต้องสร้างองค์ความรู้ล่วงหน้าไว้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง