‘แม็คกรุ๊ป’ มั่นใจปิดปีบัญชี 67 รายได้ทะลุ 4,000 ล้านบาท เดินหน้าขยาย Mc Outlet ลุยกลยุทธ์คอลลาบอเรชั่นขยายฐานลูกค้า เผยปัจจุบันแฟนพันธุ์แท้แม็คยีนส์ แตะ 1.7 ล้านคน!
5 มิ.ย. 2567 – นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยในงาน Opportunity Day ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาสสุดท้ายของปีบัญชี 2567 (เม.ย. – มิ.ย. 2567) ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจาก 3 ไตรมาสแรกของปีที่ แม็คกรุ๊ปฯ มีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าผลดำเนินงานปีบัญชี 2567 จะเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่วางไว้โดยมีรายได้จากการขายแตะ 4,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีบัญชี 2566 ที่มีรายได้จากการขาย 3,600 ล้านบาท และกำไรสุทธิโต
“งวด 9 เดือน ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. 2566 – 31 มี.ค. 2567) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 17.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูง ที่ระดับ 64.1% โดยในงวด 9 เดือนบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน” นายเจมส์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายสาขา Mc Outlet ต่อเนื่องเพื่อรองรับกำลังซื้อและการใช้จ่ายที่จะเกิดจากการเดินทางท่องเที่ยว และเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังพื้นที่ต่างๆ รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยว ปัจจุบันมี Mc Outlet ทั้งสิ้น 142 สาขาทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงเน้นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ ที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย พร้อมปรับเกมการตลาดเน้นทำ Product Mix การส่งเสริมการขาย และการบริหารช่องทางการจำหน่ายสินค้า เพื่อให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ จะยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 64%
โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ มีการนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ๆ ที่สะท้อนถึงความเท่าเทียมในเดือน Pride Month รวมไปถึงการทำ Collaboration กับพันธมิตร อย่างต่อเนื่องภายใต้ธีม My Mc My Way ชีวิตเต็มแม็ค เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นจากปัจจุบันบริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิกอยู่ที่ 1.7 ล้านราย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีส่วนผู้ถือหุ้น 3,613 ล้านบาท ลดลง 109 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 มิ.ย. 2566 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,721 ล้านบาท จากการจ่ายเงินปันผลออกไปให้กับผู้ถือหุ้น 681 ล้านบาท ขณะที่เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น อยู่ที่ 1,487 ล้านบาท ลดลง 240 ล้านบาท เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเกือบ 100% ของกำไรสุทธิ และยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนเกือบ 100% ของกำไรสุทธิต่อเนื่อง รวมไปถึงการลงทุนในการขยายจุดขาย และการจัดเตรียมวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมการผลิตสินค้าจำหน่ายต่อไป