ทำไมรัฐบาลเพื่อไทยมา 3 ป. จากไป แต่คนไทยยังไม่หายจน ?...ทำไมฝ่ายค้านก้าวไกล ไม่ตั้งรัฐบาลเงา ?

… ก็เพราะ เมื่อทำงานบ้านเมืองจริงๆ มันไม่ง่าย เหมือนเมื่อทั้งเพื่อไทย และ ก้าวไกล เป็นฝ่ายค้านรัฐบาลลุงตู่ ใช้ความสามารถที่ถนัดคือ “เก่งโม้-เก่งด่า-เก่งวาทกรรม-เก่งนำทัวร์ลง” ก็แค่นั้น

วาทกรรม “3 ป. ไป คนไทยหายจน หนี้สินหมดไป” … “มีลุง ไม่มีเรา” “ที่คนไทยยากจน ก็เพราะ ถูกอำนาจรัฐเผด็จการกดทับไว้” … “ถ้าพี่น้องอยากให้ 3 ป.กลับไป ให้ ส.ว. กลับบ้าน ต้องทุ่มโหวตแบบแลนด์สไลด์” … ฯลฯ เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใช้วิธี “โกหก…ใส่ร้าย…ขยายความทุกข์” ได้คะแนนเสียงมาอย่างง่ายๆ…ง่ายเกินไป

เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก…จาก โรคระบาดโควิด-สงคราม-น้ำมันแพง-ดอกเบี้ยแพง…เงินเฟ้อสูง เป็นสถานการณ์ที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ ขณะที่รัฐบาล ลุงตู่ 3 ป. แก้ปัญหาอย่างรอบคอบ ทันการณ์ ตรงเป้า ไม่สร้างภาระหนี้เกินตัวอย่างฟุ่มเฟือย ทั้ง เป๋าตัง-สวัสดิการแห่งรัฐ-ไทยเที่ยวไทย-คนละครึ่ง-รถไฟฟ้าทั่วกรุง-ถนนหนทางทั่วไทยมากมายแต่ฝ่ายค้านสมัยนั้น ทั้งเพื่อไทย และ ก้าวไกล กลับฉวยโอกาสที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำโกหก ใส่ร้าย ว่าที่ประชาชนเผชิญความยากลำบาก เพราะ “3 ป.” ไม่ต้องเตรียมความคิดอย่างดี แก้ไขปัญหาบ้านเมือง … แค่ ใส่ร้าย ก็ได้คะแนนเสียงแต่เมื่อการเลือกตั้งเกิดขึ้น อย่างเป็นประชาธิปไตย โครงสร้างคะแนนเสียงเปลี่ยนไป เพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นำนโยบายตามที่ได้หาเสียงมาดำเนินการ ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน แต่หลังเลือกตั้งผ่านไปแล้ว กว่า 1 ปี 3 ป. ก็ไปแล้ว

… รัฐบาลเพื่อไทย ก็ยังไม่วี่แววที่จะสามารถแก้ไขปัญหาคนไทยได้อย่างที่ว่า…จนเหมือนเดิม หลายคนจนกว่าเดิม

… ฝ่ายค้านก้าวไกล ก็ยังไม่มีการตั้ง “รัฐบาลเงา” เพื่อตรวจสอบ ทักท้วงนโยบายที่ผิดทาง ไม่ได้ผล หรือ ประกวดนโยบายในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง

1. ทำไมรัฐบาลเพื่อไทย ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้อย่างที่หาเสียงไว้ ? ดังข่าว วันที่ 17 มี.ค.2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทยขณะนั้น ได้หาเสียงไว้ว่า “ถ้าพรรคเพื่อไทยกลับมา ประเทศจะกลับมาเป็นประชาธิปไตย หนี้สินจะหมดไป ยาเสพติดจะหายไป สาธารณสุขการศึกษาจะดีขึ้น รวมถึงการแลนด์สไลด์ จะช่วยล้างผลของรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ที่สร้างเงื่อนไขให้ ส.ว.ที่ คสช.แต่งตั้งมาเลือกนายกรัฐมนตรี และตอนนี้ ส.ว.เริ่มพูดแล้วว่า ต่อให้แลนด์สไลด์ก็จะยกมือให้ 3 ป.ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ถ้าพี่น้องอยากให้ 3 ป.กลับไป ให้ ส.ว. กลับบ้าน ต้องทุ่มโหวตให้กับเพื่อไทยเท่านั้น

แต่เมื่อได้นำรัฐบาลจริง กลับแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ หลายๆคนกลับรู้สึกว่า ค้าขายแย่ลง รายได้ตกต่ำลง ก็คงเป็นเพราะ ตอนหาเสียง ได้คะแนนง่ายๆเกินไป เพียงใส่ร้าย 3 ป. ด้วยความเท็จ นโยบายแก้ปัญหาบ้านเมือง จึงฉาบฉวย ไม่ลึกซึ้ง ไม่เข้าเป้ายังไม่เห็นเรื่องอะไรใหม่ แนวทางส่วนใหญ่ คือ ใช้ประโยชน์จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่รัฐบาลลุงตู่ได้สร้างไว้

… ใช้รากฐานที่ไทย เป็นประเทศเป้าหมายในการท่องเที่ยว จนปี 2019 ก่อนโควิด ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวบินเข้าไทยอันดับ 8 ของโลก อันดับ 2 ของเอเชีย รองเพียงจีน เหนือกว่า ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย สิงคโปร์ ฯลฯ อันดับ 1 ของอาเซียน ซึ่งเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่สมัยลุงตู่

… ใช้รากฐานความเป็นฮับผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา นำหน้าภูมิภาค เป็นดีทรอยท์ของเอเซีย โดยไทยได้มีกลุ่มเอ็มจี กลุ่มเกรทวอลล์มอเตอร์ กลุ่มบีวายดี เข้ามาตั้งโรงงานในเมืองไทย เหนือกว่าประเทศใดๆในภูมิภาค ตั้งแต่สมัยลุงตู่

… คนดูแลคลัง พูดซ้ำซากแต่เรื่อง “เศรษฐกิจวิกฤต” แบบย้ำแล้วย้ำอีก มีความรู้หรือไม่ว่า ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ “เศรษฐกิจดี” คือ “ความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจดี” การตอกย้ำว่า “เศรษฐกิจวิกฤต” ทำให้ประชาชนหดหู่ กังวล ไม่กล้าจับจ่าย และมีส่วนทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ เป้าเหมายก็เพียงเพื่อจะออกนโยบายเงินดิจิตอล 5 แสนล้านบาท ซึ่งไม่ใช่นโยบายที่ช่วยให้คนไทย เก่งขึ้น มีผลิตผลดีขึ้น แต่เป็นการใช้จ่าย โดยใช้ภาระหนี้ของคนรุ่นนี้ และ รุ่นต่อไป ในอนาคต เป็นเหมือนการให้คนที่ฐานะไม่ดี เงินไม่พอใช้ กลับถูกล่อลวงให้ กู้เงินบัตรเครดิตมาใช้จ่ายเกินตัวเพียงเท่านั้น

…และยังแฝงด้วย “การเอาประชาธิปไตยไปทำธุรกิจ”  ผู้รู้โดยรอบ ย้ำเตือนว่า ถ้าจะเดินหน้าเรื่องนี้จริง ใช้แอ็ปเป๋าตังก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด ประหยัดที่สุด ได้ผลดีเป็นที่ประจักษ์ ใช้กันอย่างกว้างขวาง กลับยังดึงดันที่จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำเงินสกุลคริปโตฯ ซึ่งไร้ความจำเป็น เพราะ เทคโนโลยีเช่นนั้น แนวเดียวกับบิทคอยน์ ออกแบบไม่ให้มีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ และ ห่างไกลมาก จากการใช้เป็นเงินจับจ่ายในชีวิตประจำวัน เพราะ ผู้ใช้จะเพิ่มขึ้นมาก รายการที่ใช้จะถี่มาก การปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลต่างๆของไมเนอร์เพื่อจะพิสูจน์และบันทึการจับจ่ายนั้น จะทำไม่ทันการใช้งานรายการต่อๆไป ผู้รู้จะรู้ว่า ไม่เห็นประโยชน์ เว้นแต่เป็นกิจการที่ทำเรื่องสกุลเงินคริปโตฯ อย่างกลุ่มเอ๊กซ์สปริง ของแสนสิริของนายกฯเศรษฐาเท่านั้น บนภาระของประชาชน ทั้งแก็สฟี ทั้งการต้องเรียนรู้ใหม่ ทั้งความเสี่ยงในการเก็บรักษาความลับของข้อมูลของประชาชน ฯลฯ

… หรือ การสร้างกระแสดราม่า กล่าวหา ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ทำให้ดอกเบี้ยสูง ทั้งๆที่มันเกิดขึ้นเพราะ ดอกเบี้ยทั่วโลกสูงขึ้น สู้ปัญหาเงินเฟ้อ สหรัฐอเมริกา เคยมีดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่าไทยตลอดมา แต่บัดนี้ สหรัฐฯมีดอกเบี้ยนโยบาย 5.5% แต่ไทยยังมีดอกเบี้ยนโยบายต่ำเพียง 2.5% ก็ยังกดดัน ธปท. อย่างไร้ความรู้ น่าดูแคลนในสายตานักลงทุนทั่วโลก

… ในปีนี้ รัฐบาลมีโอกาสเร่งใช้งบประมาณ 2567 ที่ช้ามา และ เร่งงบประมาณ 2568 มาใช้ต่อเนื่องกัน แต่ก็ยังชักช้า

2. ทำไมฝ่ายค้านก้าวไกล ไม่ตั้งรัฐบาลเงา ? ตอนหาเสียง เดินทางกันทั่วไทย บอกว่าที่คนไทยยังลำบากยากจน เพราะถูกอำนาจเผด็จการ “กดทับ” ไว้ ก็เป็นการหาเสียงให้ได้คะแนนอย่างมักง่าย มีนโยบายเป็นภาพมากมายหลายด้าน นับ 300 นโยบาย ดูเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ร้อนวิชา มีความคิดมากมาย

แนวทางการตั้ง “รัฐบาลเงา” เป็นวิธีทำงานของฝ่ายค้านที่น่าสนุก น่าตื่นเต้น และ แสดงให้ประชาชนเห็น ความรู้ ความคิด ความสามารถที่แท้จริง เปรียบเทียบกับรัฐบาล แต่ก้าวไกลกลับไม่ทำ เพราะอะไร ?

ก็คงเป็นเพราะ ไม่แน่จริง ไม่รู้จริง บุคคลากรมือดีด้านคลัง ก็มีเพียงระดับ คุณ ศิริกัญญา ตันสกุล ซึ่งเมื่อเทียบความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถ เทียบไม่ได้กับ มือเศรษฐกิจอย่าง คุณกรณ์ จาติกวณิช คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง ฯลฯ หากตั้งรัฐบาลเงา ติดตามวิจารณ์เปรียบเทียบนโยบายแก้ปัญหาประชาชน ก็คงกลัวว่า จะเปิดให้ประชาชนได้เห็นความสามารถน้อย ที่แท้จริง

การเมืองไทย ปล่อยให้นักการเมืองหาเสียงด้วยวิธี “ใส่ร้าย…ขยายความทุกข์” “แค่ 3 ป. ไป คนไทยจะหายจน” ก็ได้คะแนนเสียงกัน “ง่ายเกินไป” ถึงเวลาแล้ว เราจึงยังไม่เห็นความสามารถ หรือ สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างที่คุยไว้ได้เลย

ไทยทน