คงปฏิเสธไม่ได้ว่านาทีนี้กระแสของ “อาร์ตทอย” (Art Toy) ในประเทศไทย ได้ขยายสู่วงกว้างมากขึ้น แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาวงการดังกล่าวจะเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยกว่าในอดีต แต่ด้วยกระกระแสของ “ลาบูบู้” Labubu ที่ผ่านมา ทำให้คนนอกวงเริ่มให้ความสนใจและกระโดดเข้าสู่วงการอาร์ตทอย แน่นอนว่าชื่อของ “ลิซ่า” ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความฮอตของตลาดอาร์ตทอยบ้านเรามาแรง จนกลายเป็นกระแสและทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูง ผู้คนต่างรอคิวยาวกันเป็นวันเพื่อจะได้จับจองเป็นเจ้าของ หรือแม้กระทั่งวงการรีเซลก็ทำราคาพุ่งสูงไปหลายเท่าตัวอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าสื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อคนไทยหลายอย่าง ทั้งเรื่องของการช้อปปิ้ง การแชร์เรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งการซื้อสินค้าตามกระแสจากคนดังต่างๆ ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการโพสต์เพียงครั้งเดียวของ “ลิซ่า” ทำให้ชื่อของ “ลาบูบู้” มีดีมานด์พุ่งขึ้นมาในทันที แม้ว่าที่ผ่านมาเจ้าตัวจะมีหลายแบรนด์ให้เห็นในโซเชียลมีเดีย ซึ่งก็มีหลายกลุ่มเป้าหมายหรือฐานแฟนคลับที่สามารถซื้อตามได้ ชื่อของลิซ่าทำให้เกิดกระแสทั้งในไทยและต่างประเทศมาแล้วหลายครั้ง แต่สำหรับประเทศไทยครั้งนี้นับว่าเป็นสินค้าราคาไม่แรง แฟนคลับหรือผู้ที่ชื่นชอบลิซ่า หรือแม้แต่คนที่มองเห็นความน่ารักของเจ้าลาบูบู้ ก็สามารถเป็นเจ้าของได้
จากกระแสต่างๆ ในโซเชียลมีเดียในไทย คงเป็นการตอกย้ำได้ว่าสื่อดิจิทัลยังเติบโต โดยข้อมูลจาก MI GROUP ได้ประเมินสัดส่วนเม็ดเงินของสื่อหลักปี 2567 มองว่าสื่อโทรทัศน์และสื่อดั้งเดิมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โรงภาพยนต์ จะอยู่ที่ 35% สื่อดิจิทัล 45% สื่อนอกบ้าน 20% โดยเม็ดเงินสื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว 14% และคาดการณ์โตต่อเนื่องที่ 8% ในปีนี้ (ข้อมูลจาก DAAT) นัยยะสำคัญมาจากความนิยมและความร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของ KOLs/ Influencers ที่นักการตลาด และผู้ประกอบการนิยมใช้งานมากขึ้น
ทั้งนี้ คาดการณ์จำนวน KOLs/ Influencers จะพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 2,000,000 คน ส่วนใหญ่เป็น KOLs/Influencers ในกลุ่ม Micro และ Nano Influencers ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของจำนวน KOLs/ Influencers ขณะที่ในปีที่ผ่านมาคือ Affiliate Programs ที่แพร่หลาย ซึ่งสนับสนุนให้ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียสามารถหารายได้เสริมได้ในยุคเศรษฐกิจซบเซาในปัจจุบัน ประกอบกับจำนวน Social Platform ที่มีมากขึ้น หลากหลายขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานสะดวกใจ เปิดใจและอยากที่จะแสดงตัวตนบนโลกโซเชียลมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็น Digital natives (Y, Z, Alpha) และผันตัวเองเป็น KOLs/ Influencers มือสมัครเล่นในที่สุด
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด ระบุว่า กระแสความนิยมของอาร์ตทอยอย่าง “ลาบูบู้” เป็นอีกกระแสที่รอวันซาลง และคงไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดได้ตลอดเวลา โดยความฮิตของอาร์ตทอยในประเทศไทยมีมานานแล้วระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเจน Z และ Y ที่ชื่นชอบและสะสมงานอาร์ตทอยจาก POP MART มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็น มอลลี (Molly) หรือครายเบบี้ ก็ได้รับความนิยมในกลุ่มคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ใครชื่นชอบตัวไหนก็หามาเก็บสะสม และมาที่กระแสล่าสุดคือลาบูบู้ ที่เป็นกระแสที่พีคมาก เนื่องจากมีชื่อของ “ลิซ่า” เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นปัจจัยที่ช่วยจุดกระแส ที่ทำให้แม้แต่คนที่ไม่ได้ชอบอาร์ตทอยมาก่อน แต่ด้วยมุมของลิซ่าก็ทำให้กลุ่มเหล่านั้นหันมาสนใจอาร์ตทอยหรือลาบูบู้กันมากขึ้น บวกกับกาทำตลาดผ่านไอเท็มที่หายาก ยิ่งทำให้ผู้คนตามหาสินค้าและดีมานด์พุ่งสูงขึ้น
“กระแสลาบูบู้ที่เกิดขึ้น เป็นการเกิดกระแสปกติทั่วไปและไม่น่าอยู่นาน คงต้องบอกว่าลาบูบู้ได้ผ่านจุดพีกไปแล้ว ในช่วงก่อนหน้าหากนักการตลาดจะต่อยอดอะไรจากความฮิตของลาบูบู้ที่เกิดขึ้น ก็จะได้รับผลตอบรับที่ดี แต่ถ้าทำตอนนี้อาจจะมีโอกาสไม่ได้ผลตอบรับที่ดีเหมือนเดิมแล้ว”
หากในแง่ของกำลังซื้อก็ต้องบอกว่าผู้บริโภคที่มีกำลังทรัพย์ ก็ยังจับจ่าย แต่อาจจะเริ่มลดลงตามกระแสที่เริ่มซาลงไป ส่วนคนที่มีปัญหาด้านกำลังซื้อ ก็อาจจะซื้อน้อยตามเงินในกระเป๋า ทั้งนี้ แม้ว่ากระแสจะแผ่วลงและผ่านจุดพีกไปแล้ว แต่งานอาร์ตทอยก็จะมีฐานแฟนคลับ ที่ยังมองหาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
ผศ. ดร. เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการคณะทำงานจัดการองค์ความรู้และสื่อสารสาธารณะ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจของ POP MART คือการตั้งชื่อสินค้าว่า “อาร์ตทอย” นับว่าเป็นการตั้งชื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่ามีความแตกต่างจากตุ๊กตาทั่วไป และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แน่อนว่าจะเห็นในหลายธุรกิจที่มีการตั้งชื่อใหม่ให้เกิดมูลค่าทางสินค้ามากยิ่งขึ้น และหากชื่อหรือแบรนด์ติดตลาดก็จะมีคนแห่กันไปซื้อ และจากกระแสของลาบูบู้ แน่นอนว่าจะเห็นการตลาดในลักษณะนี้บ่อยขึ้น มากขึ้น แต่ก็มาเร็วไปเร็ว
“สำหรับสินค้าที่ถูกทำให้เป็นกระแส จะเกิดการปั่นราคาเพื่อสร้างกำไรมากขึ้น ลักษณะคล้ายๆ การเก็งกำไรหุ้น ที่มีการปั่นราคา เป็นสินทรัพย์ระยะสั้น จากกระแสความฮิตและการปั่นราคาเพื่อเก็งกำไร จะเห็นได้ว่าเหล่านี้ถือเป็นโมเดลการลงทุนที่ซ่อนอยู่ในสินค้า แต่สักพักจะมีจุดที่สูงเกินไปแล้วราคาตกลงมา”
ในแง่ของกำลังซื้อคงต้องบอกว่าอาร์ตทอยไม่ได้จับกลุ่มผู้บริโภคทุกคน ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของการเก็งกำไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งกลายเป็นเป็นของสะสมสำหรับบางคน แต่สำหรับพ่อค้าแม่ค้ากลายเป็นการเก็งกำไร สร้างรายได้กับตัวเอง แต่กระแสจะเริ่มเบาลงเมื่อเข้าสู่สินค้ายุคใหม่หรือมีสินค้าอื่นๆ ที่เป็นกระแสเข้ามาแทน
“สิ่งเที่เรียนรู้ได้จากกระแสเหล่านี้คือเราขายอีโมชั่นมากกว่าฟังก์ชั่นของมัน เราจะเห็นกระแสเรื่อยๆ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ โซเชียลตลาดคนจะฟูเร็ว เช้ามาคนรู้จักทั่วไปหมด ทำให้ product life cycle สั้นลง คงต้องบอกว่างบลายบ๊อกซ์อาจจะคล้ายๆ พวกกล่องสุ่ม กาชาปอง เป็นอีโมชั่นซ่อนอีโมชั่น ลุ้นก่อนจะได้อะไร ต่อมาได้แล้วก็จะมีความสุขที่ได้มันด้วย ส่วนในแง่ธุรกิจก็ต้องบอกว่าการตลาดลักษณะนี้คุมจำนวนที่จะขายได้ กล่องสุ่มจะเกลี่ยเพื่อให้สินค้าแต่ละชนิดขายได้พอๆ กัน และแน่นอนว่าสังคมไทยเป็นพื้นที่เหมาะสำหรับปั่นกระแส ไม่ใช่เรื่องผิด ในแง่ของธุรกิจต้องเลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้า”
อย่างไรก็ดี ย้อนกลับไปเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ป๊อปมาร์ท (POP MART) ได้ทำการเปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อตอบสนองผู้บริโภค จะเห็นได้ว่าคนไทยให้ความสนใจกระแสป๊อปคัลเจอร์เพิ่มขึ้นมาก และหนึ่งในกระแสยอดนิยมก็คือ อาร์ตทอยส์ในรูปแบบบลายบ๊อกซ์ ที่สร้างความตื่นเต้นและลุ้นทุกครั้งว่าเมื่อเปิดกล่องออกมาจะได้อาร์ตทอยส์รูปแบบใด ถือเป็นเสน่ห์ของอาร์ตทอยส์ในรูปแบบบลายบ๊อกซ์
ด้วยพลังไอเดียการออกแบบ ที่ร่วมกับศิลปินต่างๆ ทำให้สาขาของป๊อปมาร์ทเป็นเสมือนห้องจัดแสดงผลงานศิลปะ ที่รวมผลงานด้านการออกแบบอันเกิดจากแรงบันดาลใจที่สะท้อนแนวคิดอันพิถีพิถัน กลั่นกรองอย่างลึกซึ้ง เพื่อสะท้อนบริบททางสังคมในแง่มุมต่างๆ ผ่านผลงานทรงคุณค่าของเหล่าศิลปินและนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยกระแสนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เอง ทำให้เกิดความร่วมมือในการสร้างสรรค์ผลงานคอลเลกชันพิเศษร่วมกับแบรนด์ระดับโลกอย่างดีซี ดิสนีย์ วอร์เนอร์ แฮร์รี พอตเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมายที่ได้เห็นกัน
แม้ว่ากระแสของ “ลาบูบู้” จะเริ่มเบาลงและไม่แรงเหมือนช่วงแรกๆ แต่ต้องยอมรับว่าวงการอาร์ตทอยของเมืองไทย สามารถเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะชื่อของ POP MART ที่ทำให้คนนอกวงการสนใจสินค้าของแบรนด์และหามาไว้ในครอบครองมากขึ้น ด้วยความน่ารักของตัวคาแรคเตอร์ต่างๆ บวกกับดีไซน์ที่เรียกว่าไม่ธรรมดา ทำให้สร้างความแตกต่างกลายเป็นงานอาร์ตกึ่งของเล่นสะสมไปในตัวอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ลิซ่า' สัมภาษณ์สื่อไทยครั้งแรก ตั้งเป้าทำผลงานให้ทุกคนภูมิใจ
ผ่านพ้นไปเรียบร้อย สำหรับงาน DENTISTE' Presents LISA Fan Meetup in Asia 2024 – Bangkok และงาน DENTISTE' x LISA Exclusive After Party อีเวนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟแห่งปี ของ นักร้องสาวซุปเปอร์สตาร์ชาวไทย ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล ณ ไบเทค ไลฟ์ พร้อมกันนี้เจ้าตัวยังได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย
'กอล์ฟ' ปลื้มอาร์ตทอยรุ่น 3 เกลี้ยง! พร้อมเล่าแรงบันดาลใจจาก 'แจ็คสัน'
ปลื้มใจสุดๆ หลังจากผลงานอาร์ตทอย Starseed.X ของนักแสดงหนุ่ม "กอล์ฟ-พิชญะ นิธิไพศาลกุล" ที่ออกแบบด้วยตัวเองมาจนถึงตัวที่ 3 ได้รับการตอบรับ Sold Out ขายหมดทุกครั้งที่เปิดการจำหน่าย และเล่าถึงที่มาของตัวที่ 2 ที่ชื่อว่า "Pain" ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของน้องรัก "แจ็คสัน หวัง" (Jackson Wang)
'เมเจอร์' ฉลองการเดบิวต์ครบรอบ 8 ปี ของ 'BLACKPINK'
เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มอบของขวัญพิเศษสำหรับบลิ๊งค์ชาวไทย เตรียมปล่อยภาพยนตร์คอนเสิร์ต BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] IN CINEMAS ของ 4 สาวเกิร์ลกรุ๊ประดับโลก BLACKPINK ประกอบด้วย จีซู, เจนนี่, โรเซ่ และ ลิซ่า ที่เดบิวต์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2016
'หมอบรูซ' เล่านาทีคุยกับ 'ลิซ่า' ในกองถ่าย เผยซีนน่าเสียดายที่ผู้กำกับคัททิ้ง
สร้างความฮือฮาให้กลุ่ม LGBTQ เป็นอย่างมาก สำหรับโอกาสครั้งสำคัญในการพรีเซนต์ความเป็นไทย เมื่อนักร้องคนดังระดับโลก "ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล" ปล่อยซิงเกิลใหม่ "ROCKSTAR" ยกกองมาปักหลักถ่ายทำที่ประเทศไทย และใช้นักแสดงร่วมคนไทยเข้าฉากโกอินเตอร์ไปทั่วโลก
เปิดใจ 'น้องยี่หวา' แม่ค้าขายไก่ทอด ดีใจหน้าคล้าย 'ลิซ่า'
จากกรณี เพจ "ThaiMarketing" ได้โพสภาพสาวน้อยแม่ค้าขายไก่ทอดคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาคล้ายซุปเปอร์สตาร์ "ลิซ่า" หรือนางสาวลลิษา มโนบาล ศิลปินดัง เจ้าของเพลงร็อกสตาร์ (Rockstar)