‘คลัง’ เคาะแล้ว 31 มี.ค. 67 ตัดเกรดผู้มีเงินฝากเกิน 5 แสนบาทอดเข้าร่วมโครงการ Digital Wallet “พิชัย” กำชับดำเนินโครงการอย่างปลอดภัย ไร้ทุจริต
8 มี.ค. 2567 – นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่า ที่ประชุมได้สรุปกำหนดกรอบเวลาสำหรับผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ 10,000บาท โดยตามเงื่อนไขจะต้องมีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท ไม่เกินวันที่ 31 มี.ค. 2567 และกำหนดกรอบสำหรับผู้ที่มีอายุ 16 ปี ที่จะได้รับสิทธิ์ตามโครงการ จะต้องไม่เกินวันที่ 30 ก.ย. 2567 หรือวันสุดท้ายของการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ขณะเดียวกำหนดจะใช้ฐานข้อมูลภาษีปี 2566 เป็นเกณฑ์ของผู้มีเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี ที่จะเข้าร่วมโครงการ
สำหรับเงินฝาก 500,000 บาท ประกอบด้วย เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก ใบรับเงินฝาก และรวมถึงผลิตภัณฑ์เงินฝากชื่ออื่นที่มีลักษณะเดียวกับที่กล่าวมาแล้ว โดยเงินฝากดังกล่าวให้หมายถึงเฉพาะเงินฝากในสกุลเงินบาทเท่านั้น โดยเป็นการรวมทุกบัญชีรวมกันในสถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ ด้านการยกเว้นสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ (Negative List) ยังไม่ได้มีการพิจารณาเพิ่มเติม และเงื่อนไขทุกอย่างในโครงการยังคงเหมือนเดิม ซึ่งกำหนดลงทะเบียนในไตรมาส 3/67
“จะมีการนัดประชุมอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยในการประชุมวันนี้มีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก อย่างกรณีประชาชนที่อายุ 16 ปี ที่ผู้ปกครองมีการากเงินออมให้อย่างต่อเนื่อง จนมีเงินฝากในบัญชีรวมกันเกิน 5 แสนบาทนั้น ก็ถือว่าเป็นคนมีฐานะ ตรงนี้ก็ต้องตัดออก” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ได้ให้ข้อเสนอแนะในการประชุมครั้งนี้ด้วยว่า เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันกลไกการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีความจำเป็น และนโยบายหลักของรัฐบาลในการแก้ปัญหาให้ประชาชนในขณะนี้ คือ การเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านโครงการดิจิทัล วอลเล็ต พร้อมทั้งยังให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในหลายประเด็นเกี่ยวกับโครงการ พร้อมได้เน้นย้ำให้การดำเนินโครงการต้องเป็นไปอย่างปลอดภัย และป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้เงินผิดประเภทด้วย
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า การประชุมวันนี้ส่วนใหญ่เป็นการหารือในเรื่องระบบ และเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปได้ เช่น เรื่องการยืนยันตัวตนจะเชื่อมอย่างไร ตัดสิทธิที่วันไหน เรื่องเงินฝากตัดวันไหน รวมอะไรบ้าง รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการ อาทิ การเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมสรรพากร กรมการปกครอง เป็นต้น เพื่อหาข้อสรุปและดำเนินการต่อ
“แอปพลิเคชันที่จะใช้ในโครงการ กระบวนการยังดำเนินต่อเนื่อง ต้องมีการทำข้อตกลงกับหลายหน่วยงาน เช่น การตรวจสอบข้อมูลบัญชีเงินฝาก ก็จะต้องหารือกันว่าจะเชื่อมถังข้อมูลอย่างไร ใครรับผิดชอบส่วนไหน โดยเบื้องต้นจะใช้แอปพลิเคชันทางรัฐในการเชื่อมโยงข้อมูล” นายเผ่าภูมิ กล่าว