บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดรายได้รวมไตรมาส 1/67 จำนวน 18,787.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 535.71 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 1,712.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.72 ล้านบาท โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของสาขาโฮมโปร และเมกาโฮม การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt ของทางรัฐบาลในช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 รวมถึงบริษัทฯ ยังมีการผลักดันยอดขายในช่วงไตรมาส 1 อย่างต่อเนื่อง จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่หลากหลาย ทั้งในส่วนของช่องทางสาขาและออนไลน์
30 มี.ค. 2567 – นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผย ผลประกอบการไตรมาส 1/2567 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 1,712.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.72 ล้านบาท หรือ 6.31% โดยมีรายได้รวม จำนวน 18,787.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 535.71 ล้านบาท หรือ 2.94% ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 17,663.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 440.36 ล้านบาท หรือ 2.56%
ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของสาขาโฮมโปร และเมกาโฮม การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt ของทางรัฐบาลในช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 รวมถึงบริษัทฯ ยังมีการผลักดันยอดขายในช่วงไตรมาส 1 อย่างต่อเนื่อง จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่หลากหลาย ทั้งในส่วนของช่องทางสาขาและออนไลน์อีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่า จำนวน 450.83 ล้านบาท ลดลง 26.16 ล้านบาท หรือ 5.48% จากปีก่อน เป็นผลมาจากงดจัดงาน HomePro Expo ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในช่วงเดือนมีนาคม โดยได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดงาน HomePro Super Expo ในช่วงเดือนเมษายนแทน ผ่านช่องทางสาขาและออนไลน์ รวมถึงยังมีรายได้อื่น จำนวน 672.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121.50 ล้านบาท หรือ 22.03% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้า ทั้งในช่องทางสาขา และช่องทางออนไลน์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 4,635.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142.87 ล้านบาท หรือ 3.18% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นจาก 26.08% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.24% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการได้รับส่วนลดจากคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของธุรกิจ โฮมโปรและเมกาโฮม
นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยยังคงชะลอตัว สืบเนื่องมาจากความกดดันต่างๆ ทั้งในเรื่องของอุปสงค์โลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่งผลต่อการหดตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการส่งออก อัตราดอกเบี้ยและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณ 2567 ที่ล่าช้าของภาครัฐบาล ทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆยังไม่ได้มีการถูกบังคับใช้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การบริโภคของภาคเอกชนยังคงมีการขยายตัว สืบเนื่องจากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1
สำหรับการผลักดันยอดขายสินค้า และบริการ บริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางสาขาและออนไลน์ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า รวมถึงบริษัทฯ ยังคงมีแผนการจัดงาน HomePro Super Expo ที่สาขาในช่วงเดือนเมษายน และกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นๆ ตลอดทั้งปี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด และมีการวางกลยุทธ์ในการดำเนินงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในด้านต่างๆ ทั้งในส่วนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและรายได้รวม การเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น การเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Brand การจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวมเติบโตขึ้น 2.94% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6.31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บีเจซี เผยผลประกอบการไตรมาส 3/67 ดันรายได้รวมเติบโตทะลุ 41,774 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโตกว่า 14.2%
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้รวมในไตรมาส 3/67 เท่ากับ 41,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 603 ล้านบาทจากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 2,825 ล้านบาท
ผลประกอบการ SCGD 9 เดือนแรกปี 67 คว้ากำไร 730 ล้านบาท เพิ่ม 15% จากปีก่อน แม้ฝ่ามรสุมรอบด้าน ไตรมาส 3 ยังกำไร 189 ล้านบาท
ผลประกอบการ SCGD 9 เดือนแรกปี 67 กำไรสุทธิ 730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนที่ 637 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 3 เผชิญความท้าทายรอบด้าน