กูรูพาเหรดยกนิ้ว2567ปี 'ทอง' ของแทร่ ดบ.ขาลง-สงครามดันราคาทุบสถิติไม่พัก ลุ้นวิ่งแตะบาทละ4หมื่น

เรียกว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น ขึ้นแล้ว ขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้นอกจากค่าไฟก็คงจะหนีไม่พ้น ราคาทองคำ ที่เรียกได้ว่า มีแต่ขึ้น ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะหยุดได้สักที โดยปัจจัยหลักๆ ที่หลายฝ่ายต่างประเมินกันว่า เป็นประเด็นที่กระทุ้งให้ราคาทองคำซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย ยังคงได้รับความนิยมและปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ นั่นคือ “สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซียกับยูเครน ที่กลับมาตึงเครียดกันอีกครั้ง”

16 มี.ค. 2567 – โดยหลังจากที่อิสราเอลประกาศว่าจะเดินหน้าใช้ปฏิบัติการทางทหารในเมืองราฟาร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา แม้ว่าอิสราเอลจะถูกกดดันจากนานาชาติเพิ่มขึ้นก็ตาม และขณะนี้เองหลายประเทศ รวมถึงประเทศมหาอำนาจอย่าง “สหรัฐ” ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้อิสราเอลยกเลิกแผนการโจมตีเมืองราฟาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งสุดท้ายในฉนวนกาซา ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนพักพิงอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวราว 1.5 ล้านคน

ขณะที่ ทางรัสเซียนั้นก็ประกาศชัดเจนว่ามีความพร้อมทางด้านเทคนิคในการทำสงครามนิวเคลียร์ และรัสเซียเองก็พร้อมที่จะทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์หากสหรัฐเป็นฝ่ายดำเนินการก่อน อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่ช่วงขาลง ตัวเลขเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ออกมาน่าผิดหวัง ซึ่งอาจมีผลต่อเนื่องไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกด้วย เหล่านี้คงเป็นประเด็นหลักๆ ที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” จนเป็นเหตุให้ราคาทองคำ โดยเฉพาะในประเทศไทย เรียกว่าขยับขึ้นต่อเนื่องทุบสถิติแบบรายวัน!!

พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ระบุว่า มีโอกาสที่ราคาทองคำในประเทศจะขยับถึง 40,000 บาทภายในครึ่งแรกของปี 2567 ตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตลอดกาล ส่งผลให้นับจากต้นปีราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 7.3% ซึ่งการปรับขึ้นมาครั้งนี้นอกจากจะมีปัจจัยพื้นฐานด้านนโยบายดอกเบี้ยที่แน่ชัดว่า ปีนี้ต้องปรับลงแล้ว ยังได้รับแรงหนุนจากข่าวการประกาศตัวเลขอัตราการจ้างงานของสหรัฐที่ล่าสุดมีอัตราว่างงานถึง 3.9% สูงกว่ารอบก่อนและสูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.7%

และจากความกังวลเรื่องอัตราการว่างงานดังกล่าว ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคายกระดับต่ำสุดและระดับสูงสุดแบบรายวัน บ่งชี้ได้ว่า “ยังมีแรงซื้อเพิ่มขึ้นในระยะสั้น”

แม้ว่าปีนี้ราคาทองคำจะปรับขึ้นมามากแล้ว ขณะที่ภาพรวมระยะกลางสัญญาณก็ยังเป็นบวกอยู่ แต่ YLG ก็ยังคงเป้าหมายราคาทองคำไว้ที่ระดับเดิม คือ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ได้มีการปรับมุมมองว่าราคาทองคำอาจไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น โดยยอมรับว่ามีโอกาสที่ภายในครึ่งแรกของปีนี้อาจจะได้เห็น ส่วนระยะยาว 2-3 ปี มองว่าทิศทางราคาทองคำจะยังคงเป็นบวกอย่างต่อเนื่องตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเป็นทิศทางขาลงไปอีก 2-3 ปี

ขณะเดียวกัน ปัจจุบันทองคำได้ทรานส์ฟอร์มจากสินทรัพย์ทางกายภาพ สู่การเก็งกำไรในโลกดิจิทัล ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดแรงซื้อจากนักลงทุนใหม่เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา และมองว่าหลังจากที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ในระยะสั้น อาจมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา แต่ภาพของทองคำในระยะยาวในปี 2567 นี้ยังเป็นทิศทางขาขึ้นอยู่

“ปีนี้ทองคำอาจเข้าถึงเป้าหมายเร็วขึ้น เนื่องจากปริมาณการซื้อขายทองคำปัจจุบันมาจากออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะในประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 5 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมูลค่าการซื้อขายดังกล่าวมาจากทองคำกาย 35% และ 65% มาจากมูลค่าการซื้อขายทองคำดิจิทัล ซึ่งเป็นการซื้อขายเพื่อการลงทุนที่ตลาดทองคำได้พัฒนาระบบการซื้อขายบนบล็อกเชน ทำให้เกิดความคล่องตัวในการซื้อขาย” พวรรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ หากจะกางปัจจัยที่ช่วยส่งผลให้ราคาทองคำตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้มีความคึกคักอย่างมาก จนมีโอกาสที่เราๆ อาจจะได้เห็นราคาทองคำสร้างสถิติ หรือทุบสถิติใหม่ต่อเนื่องไปอีกระยะนั้น ไม่เพียงมาจากประเด็นเรื่อง “อัตราดอกเบี้ยที่เริ่มเข้าสู่ขาลง” ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องยอมรับว่ามีผลต่อราคาทองคำอย่างมากเท่านั้น ยังรวมไปถึงประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นอย่าง “ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์” จากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจจะไม่ใช่แค่คู่ขัดแย้งเดิมๆ แต่อาจจะมีคู่ขัดแย้งใหม่ที่เกิดขึ้น ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตา

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง “ธนาคารกลางทั่วโลกยังสะสมทองคำต่อเนื่อง” โดยจากผลสำรวจของสภาทองคำโลก (WGC) พบว่า ธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมเข้าซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรองเพิ่มอีก 24% ในช่วง 12 เดือนนี้ อีกทั้งประเด็นที่ว่า “นักลงทุนโยกเงินลงทุนเข้ามาพักในตลาดทองคำ เพื่อหลีกหนีความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่มีโอกาสปรับฐาน” ซึ่งก็เข้าตำรา ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด โดยอาจจะสืบเนื่องมาจากสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ยังมีแนวโน้มการชะลอตัว หรือฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงเป็นปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาได้

ขณะที่มุมมองของ กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ก็ได้ออกมาประเมินว่า ทิศทางราคาทองคำในปี 2567 นั้นยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ภายในครึ่งแรกของปี 2567 เช่นเดียวกัน ด้วยปัจจัยหนุนสำคัญจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งเร็วขึ้นกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และแน่นอนยังมีปัจจัยเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลก จนทำให้นักลงทุนหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” มากขึ้นนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ระบุว่า มีโอกาสที่จะได้เห็นราคาทองคำขยับขึ้นไปแตะระดับ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากมีสถานการณ์หรือปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยตอนนี้ที่ต้องจับตาคือ ปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และธนาคารกลางกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกันทิศทางค่าเงินบาทยังคงผันผวนรุนแรง ซึ่งหากทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง จะยิ่งเป็นปัจจัยที่ดันราคาทองคำในประเทศให้แพงขึ้นได้

“ที่ตลาดคาดการณ์กันว่าอาจจะได้เห็นราคาทองคำในประเทศพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 40,000 บาทนั้น ส่วนตัวมองว่าอาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลให้เงินบาทมีเสถียรภาพไม่แกว่งตัวแข็งค่าหรืออ่อนค่ามากเกินไป” จิตติ กล่าว

ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ อย่าง พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ได้เคยระบุว่า ราคาทองคำที่ปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงในตอนนี้ถือว่าทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งความจริงวกกลับมาเป็นขาขึ้นตั้งแต่ช่วงราคาแตะ 34,400 บาทต่อบาททองคำแล้ว และมีการทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือออลไทม์ไฮ โดยเป้าหมายราคาในระยะยาวช่วง 1-2 ปีนี้ที่ระดับราคา 38,000 บาทต่อบาททองคำนั้นถือว่ามีความเป็นไปได้

ทั้งนี้ จากข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน มี.ค.2567 อยู่ที่ระดับ 69.38 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.11 จุด หรือคิดเป็น 3.13% จากระดับ 67.27 จุดในเดือนก่อนหน้า ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่า นโยบายทางการเงินของเฟด ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ตลอดจนแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ส่วนคาดการณ์กรอบราคาทองคำในเดือน มี.ค.2567 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่ มองว่า ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 2,019-2,209 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 34,500-37,300 บาทต่อบาททองคำ และค่าเงินบาทให้กรอบเฉลี่ยที่บริเวณ 35.14-36.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับคำแนะนำการลงทุนทองคำในเดือน มี.ค.2567 นั้น ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ให้ความเห็นว่า หลังจากราคาทองคำได้ทำจุดสูงสุดใหม่ ในระยะสั้นอาจจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาได้ แต่ภาพรวมของทองคำในระยะยาว “ยังอยู่ในทิศทางบวก” ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลง และภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในสหรัฐ อีกทั้งยังมีประเด็นที่ธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลกต่างเดินหน้าถือครองทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ นโยบายการเงินของเฟด และนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา “ทองคำ” ถือว่าได้รับแสงและมีบทบาทสำคัญในตลาดการลงทุนอยู่ไม่น้อย ด้วยเพราะอยู่ในฐานะของสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เข้ามามีผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจในมิติอื่นๆ ก็ยิ่งฉายแสงส่องมายังทองคำให้ได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีกเท่านั้น จึงอาจยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไปว่า ที่สุดแล้วราคาทองคำในปีนี้จะยังคงเดินหน้าทุบสถิติ ทำราคาสูงสุดไปถึงจุดใด ขณะที่นักลงทุนเองก็ต้องมีการพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ รอบด้านด้วย!!.

เพิ่มเพื่อน