'อดีตรมว.คลัง' วิเคราะห์ 'ปิโตรเลียมไทย-กัมพูชา' ชี้ไม่มีการระบุว่าเป็นการกำหนดแนวเขตทางทะเล ถ้าไทยฟ้องศาลโลกก็ไม่แน่ว่าจะชนะ แนะทางเลือกเจรจายุติปัญหาข้อพิพาท เช่น กรณี ไทย - มาเลเซีย
28 ก.พ.2567- นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเรื่อง ปิโตรเลียมไทย-กัมพูชา มีเนื้อหาดังนี้
นายกเศรษฐา กล่าวเกี่ยวกับการพัฒนาสำรวจปิโตรเลียมในทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า
ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เรื่องพื้นที่ทับซ้อน กับขุมทรัพย์ที่อยู่ใต้ทะเล
โดยจะพยายามแยกแยะระหว่าง ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน และการแบ่งผลประโยชน์ แต่เรื่องนี้ต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้
คุณรสนา โตสิตระกูล กับคุณคำนูณ สิทธิสมาน ได้โพสต์ Facebook ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ในทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา
ผมขอนำบางแง่มุมมาเล่าซ้ำในที่นี้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจแบบง่ายมากขึ้น
ถามว่า ปัญหาเกิดจากเหตุใด?
ตอบว่า รูป 1 ไทยประกาศเส้นเขตแดนผลประโยชน์ตามหลักสากล ตามเส้นสีเหลือง ในขณะที่กัมพูชาประกาศตามเส้นสีแดง
รูป 2 พื้นที่ที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน กว้างขวางถึง 26,000 ตร.กม. และมีผู้คาดว่า มีทรัพยากรปิโตรเลียมมากถึง 20 ล้านล้านบาท
รูป 3-4 ตามข้อมูลของคุณคำนูณ ผลจาก MOU 2544 ที่ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ในสมัยของคุณทักษิณ เกิดเป็นกรอบแนวทางการเจรจาตามภาพกราฟฟิคที่นำมาแสดง
โดยการเจรจาแบ่งเขตแดน ถูกจำกัดตามกรอบ MOU 2544 ให้ทำเฉพาะส่วนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ
เท่านั้น
รูป 5 คุณคำนูณแสดงความคืบหน้าเจรจา
ส่วนใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ จะแบ่งผลประโยชน์ แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนตะวันตกสุดกับตะวันออกสุด ให้แต่ละประเทศ 90%
ตรงกลางแบ่งกัน 50:50
ส่วนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ที่กรอบ MOU 2544 ให้เจรจาแบ่งเขตแดน นั้น ยังไม่มีการระบุวิธีการแบ่งผลประโยชน์
ถามว่า ถ้าสมมุติกัมพูชาประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเลตามปกติ จะมีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับไทยหรือไม่?
ตอบว่า บทความในไทยปับบลิกา ระบุว่า
อ่าวไทยมีความกว้างไม่มาก โดยกว้างสุดเพียง 206 ไมล์ทะเล ในขณะที่อนุสัญญาสหประชาชาติ อนุญาตให้แต่ละประเทศ อ้างเขตเศรษฐกิจจำเพาะไปได้ถึง 200 ไมล์ทะเล
ดังนั้น เมื่อกัมพูชาและมาเลเซียประกาศเขต 200 ไมล์ทะเล ก็มักจะเกิดพื้นที่ทับซ้อนกับไทยอยู่แล้ว
แต่ไทยมีปัญหากับกัมพูชาเป็นพิเศษ จากการที่กัมพูชาใช้เส้นสีแดงที่ลากผ่านเกาะกูด
ถามว่า กัมพูชาอ้างเอกสารใด ในการใช้เส้นสีแดงที่ลากผ่านเกาะกูด?
ตอบว่า กัมพูชาอ้าง สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1907 ซึ่งบทความระบุว่า
“เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่ตรงข้ามยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวานแล”
บทความระบุ ไทยพิจารณาว่าเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ นั้น ให้ใช้เกาะกูดเป็นจุดเล็งเพื่อกำหนดเส้นเขตแดนทางบก ไม่ใช่สนธิสัญญาที่กำหนดเขตแดนทางทะเล
ถามว่า ถ้าไทยฟ้องศาลโลก จะชนะกัมพูชาหรือไม่?
ตอบว่า บทความวิเคราะห์ว่า
อุทาหรณ์และประสบการณ์จากคดีปราสาทพระวิหารนั้น บอกให้รู้ว่า ต่อให้มั่นใจในพยานหลักฐานและหลักกฎหมายเพียงใด ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นฝ่ายชนะคดี
และฝ่ายที่แพ้คดีมักจะไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลโลก
(ผมคาดว่า ถ้ากัมพูชาขอให้ฝรั่งเศสเป็นพยาน ฝรั่งเศสก็อาจจะให้น้ำหนักไปทางกัมพูชา)
ทางเลือกที่ไทยและกัมพูชาเลือกใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ เจรจากันไป ซึ่งอาจจะใช้เวลานานชั่วลูกชั่วหลาน
ทั้งนี้ ถ้าสามารถยุติปัญหาข้อพิพาทได้โดยสันติ ก็จะเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่าย ขุดค้นทรัพยากรในพื้นที่พิพาทขึ้นมาใช้ เช่น กรณีไทยและมาเลเซีย
ถามว่า ข้อความในสนธิสัญญาฯ มีการระบุชัดเจนหรือไม่ ว่าเป็นแนวเขตทางทะเล?
ตอบว่า ไม่มีการระบุว่าเป็นการกำหนดแนวเขตทางทะเล
ในรูป 6 คำแปลที่ระบุว่า
"ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่ตรงข้ามยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวานแล"
(ผมไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของคำแปล)
ก็ไม่ชัดเจนว่า หมายถึงลูกศรสีน้ำเงิน หรือลูกศรสีแดง (ซึ่งชี้ไปที่จุดสิ้นสุดเขตแดนไทยบนบก) หรือลูกศรทิศทางตำแหน่งอื่น
ถามว่า ที่ท่านนายกเศรษฐากล่าวว่า จะแยกแยะระหว่าง ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน และการแบ่งผลประโยชน์ นั้น อาจเป็นทางใด?
ตอบว่า แนวทางหนึ่งก็คือ พัฒนาปิโตรเลียมร่วมกันสองประเทศ โดยแบ่งผลประโยชน์ตามสัดส่วนในรูป 5 ในฐานะผู้ร่วมลงทุน
แต่ยังไม่ให้ถือว่า แนวการพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกันสองประเทศ เป็นข้อยุติในการกำหนดเขตแดนในทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา
ซึ่งถ้าสังคมไทยยอมรับหลักการนี้ ก็จะนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ร่วมกันได้
แต่ถ้าสังคมไทยไม่ยอมรับ ก็ต้องปล่อยให้ปิโตรเลียมค้างอยู่ในทะเลต่อไป
ถามว่า มีการให้สัมปทานไปแก่บริษัทตะวันตกนานแล้ว ใช่หรือไม่?
ตอบว่า ในรูป 7 จากเพจของคุณรสนา ไทยน่าจะให้สัมปทานไปแก่บริษัท Chevron แล้ว ส่วนกัมพูชาก็มีการให้สัมปทานไปแก่บริษัท Conoco Phillips
ดังนั้น ก่อนที่ท่านนายกเศรษฐาจะเดินหน้าต่อไป ควรจะชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า
ก) ข้อความในสนธิสัญญาฯ น่าจะมีความหมายอย่างไร และเป็นการคุ้มค่าที่ไทยจะฟ้องคดีในศาลโลกหรือไม่?
ข) ไทยและกัมพูชา มีการให้สัมปทานแก่บริษัทตะวันตกไปแล้ว จริงหรือไม่? สามารถยกเลิกได้หรือไม่?
ค) การให้สิทธิ์สำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่นี้ ควรเปลี่ยนไปใช้ ระบบแบ่งปันผลผลิต แทนสัมปทาน หรือไม่?
ง) การเลือกบริษัทที่จะให้สิทธิ์ ควรดำเนินการอย่างไร?
จ) ควรมีเงื่อนไขให้บริษัทต่างประเทศที่เข้ามาร่วมประมูล ต้องจับมือกับ ปตท.สผ. หรือไม่?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กมธ.มั่นคงฯ ขอดูลาดเลาปม MOU44 ให้รอบด้าน
'กมธ.มั่นคง' ขอฟังข้อมูลปม MOU 44 รอบด้าน หลังหลายฝ่ายมีความเห็นต่าง 'โรม' ยันยึดประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เล็งใช้กลไกสภาเดินหน้าตรวสอบ เหตุเรื่องรื้อรังมานาน
'สมชาย' เห็นด้วยอดีตขุนคลังแจกเงินหมื่นเฟสสองเสี่ยงคุก!
นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊ก
เตรียมรับอีกคดี! 'อดีตรมว.คลัง' ฟันธง! แจกเงินอายุเกิน 60 ปีผิดกฎหมาย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความว่
ทร. เตรียมจัดเสวนาเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเล ปม MOU 44 หวังสื่อสารให้สังคมเข้าใจ
พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) กล่าวภายหลังทำพิธีวันสถาปนากองทัพเรือ ครบรอบ 118 ปี เมื่อถามว่า อดีต ผบ.ทร. ได้ฝากถึงกรณี MOU 44
'อดีตรมว.คลัง' ร่อนจม.ถึง 'รมว.คลัง' จี้ตรวจคุณสมบัติ 'โต้งไวท์ไล'
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่ง จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีคลังเรื่องแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงค์ชาติ
’ห้าพันตารางกิโลเมตร‘ เท่ากับกี่ตารางนิ้ว ? เงื่อนตายของ MOU 2544 ?
MOU 2544 ไม่ใช่กรอบการเจรจาเพื่อหาข้อตกลง ”แบ่งผลประโยชน์(ปิโตรเลียม)“ เท่านั้น แต่หาข้อตกลง “แบ่งเขตแดน(ทะเล)“ ด้วย !