"สภาพัฒน์" เผยเศรษฐกิจไทยปี 66 GDP โต 1.9% แนะ ธปท.ทบทวนการดำเนินนโยบายการเงิน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4 ปี 2566 เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปี 2566 ขยายตัว 1.7% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 1.4% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทย ในไตรมาสที่ 4 ของปี 66 ลดลงจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 0.6% โดยรวมทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% ชะลอตัวลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2565 ด้านอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.2% และ ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 1.3% ของจีดีพี

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 2.2 – 3.2% อัตราเงินเฟ้อ 0.9-1.9%  โดยยังไม่นำโครงการดิจิทัลวอเล็ต 10,000 บาท เข้ามาคำนวณ เนื่องจากต้องหารืออีกหลายฝ่าย  คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3%การลงทุนขยายตัว 3.5%  การท่องเที่ยวคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 35 ล้านคน มีการใช้จ่ายในประเทศ  1.22 ล้านล้านบาท  มีการใช้จ่าย  35,0000 บาทต่อคนต่อทริป  นับเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจที่สำคัญ รัฐบาลต้องดูแลความปลอดภัยในการท่องเที่ยวในประเทศ การยกเว้นวีซ่าระยะยาวให้กับต่างชาติ  ทั้งผู้สูงอายุ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีกำลังซื้อสูง เพื่อเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ  

“ขณะนี้ มีความเป็นห่วงตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก คาดว่าขยายตัว 3.5% ในปี 2567 เพราะการส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัว 2.9%ในปี 2567 เทียบกับการลดลง 1.7% ในปี 2566 จึงต้องหารือกับสภาอุตสหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และหน่วยงานเกี่ยวข้อง เนื่องจากการส่งออกเริ่มดี แต่ทำไมเอกชน ไม่สามารถผลิตสินค้าให้เติบโตได้ทันตามออร์เดอร์เข้ามา  เนื่องจากการผลิตอุตสหากรรมมีสัดส่วนสูงถึง27-28% ของจีดีพี หากเอกชนไม่ขยับกระทบต่อจีดีพีของประเทศหนักมาก” นายดนุชา กล่าว

นายดนุชา กล่าวว่า เศรษฐกิจที่ออกมาสะท้อนถึงปัญหาที่อยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย คือหนี้ที่สูงโดยเฉพาะภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้มาตรการต่างๆ เกือบทั้งหมดแล้ว เช่นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนใหม่ในประเทศ แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนและธุรกิจยังอยู่ ทำให้น่าจะถึงช่วงเวลาที่มาตรการการเงินเข้ามาช่วยเศรษฐกิจแล้ว โดยสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังในช่วงถัดไปคือ มาตรการด้านการเงินต้องเข้ามามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ โดยเฉพาะการลดภาระครัวเรือนและเอสเอ็มอี อาทิ อัตราดอกเบี้ยต่างๆ ต้องพิจารณาจริงจัง ไม่ว่าจะอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนต่างดอกเบี้ย ซึ่งเน้นลงไปภาครัวเรือนและเอสเอ็มอี

ทั้งนี้ เพื่อให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทบทวนการดำเนินนโยบายการเงินอย่างจริงจัง โดยลดดอกเบี้ยจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% ต่อปี ลดช่องว่างสัดส่วนกำไรสุทธิระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้แคบลง และกลับมาใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำในการชำระบัตรเครดิต จากปัจจุบัน 8% ให้เหลือ 5% เพื่อลดภาระทางการเงินของภาคครัวเรือนและเอสเอ็มอี ที่ต้องพึ่งสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นทุนหมุนเวียน อีกทั้ง ยังเห็นสัญญาณผู้ผิดนัดชำระหนี้ ไหลหลายเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น

นายดนุชา กล่าวว่าสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี2567 ต้องหามาตรการดูแลภาคหนี้ครัวเรือน เพราะหนี้ครัวเรือนต่อจีดพีสูงต่อเนื่องมาหลายปียังไม่ลดลง หวั่นกระทบรายย่อยอย่างมาก สำหรับการดูแลผู้ส่งออก ได้กำลังหารือกับกระทรวงการคลัง สร้างระบบค้ำประกันการส่งออกเป็นรายบุคคล หากมีออเดอร์สั่งซื้อเข้ามา ควรนำเอกสารดังกล่าว ยื่นค้ำประกันการกู้เงินจากแบงก์  เพื่อนำทุนมาผลิตสินค้าได้  โดยไม่ต้องรอการค้ำประกันจาก บสย.ในแต่ละชุด เพื่อออกมาดูแลเอสเอ็มอีผู้ส่งออก

นอกจากนี้ ต้องเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ของหน่วยงานภาครัฐ  เพื่อให้เบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมาย  เตือนระวังภัยแล้งจากอุณหภูมิสูงในปีนี้ จนกระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตร รัฐบาลต้องเตรียมแผนรองรับ หวั่นกระทบต่อเกษตรกรหนักมาก  อีกทั้ง ความรุนแรงตะวันออกกลาง ยังกระทบต่อค่าระวางเรือ กระทบต้นทุนการส่งออกของไทย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สภาพัฒน์' สั่งจับตาหนี้เสีย แนะแบงก์ปรับโครงสร้างหนี้

‘สภาพัฒน์’เผยหนี้เสียยังเพิ่มขึ้นมาที่ 2.99% เร่งแบงก์ปรับโครงสร้างหนี้ แนะจับตาประเด็นการกู้เงินนอกระบบบนโซเชียลมีเดีย ส่วนอัตราว่างงานไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1.07% เพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังฟื้นตัวจากโควิด