‘เอ็กซิมแบงก์’ ปลื้มปี 64 กำไรพุ่ง 1.5 พันล้าน

เอ็กซิมแบงก์’ โชว์ตัวเลขปี64 ทำกำไรพุ่งกว่า 1,500 ล้านบาท โต 200% สูงสุดในรอบ 5 ปี คาดปี65 ขยายตัวต่อเนื่อง เดินหน้าดันผู้ประกอบการไทยเจาะตลาดเพิ่ม หลังได้รับเงินหนุนจากกองทุนฯ กว่า 4 พันล้าน ปักธงลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

24 ธ.ค. 2564 นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 มียอดคงค้างสินเชื่อ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2564 อยู่ที่ 148,849 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 2564 ยอดคงค้างจะสูงถึง 152,383 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินการมา 28 ปี เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 17,155 ล้านบาท หรือ 12.69% ณ สิ้นปี 2564 และคาดว่าจะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งขาดทุนกว่าพันล้านบาท โดยถือเป็นกำไรสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี

อย่างไรก็ตามโดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 มีปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกันเท่ากับ 149,148 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2564เอ็กซิมแบงค์ จะสามารถเร่งทำผลงานด้านรับประกันให้แตะระดับ 150,000 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินงาน โดยเติบโตจากปีก่อนหน้า 11.05% และขยายจำนวนลูกค้าเป็น 4,845 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 13.17% ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพ.ย.2564 เอ็กซิมแบงค์ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการประมาณ 11,300 ราย ด้วยวงเงินรวมกว่า 70,000 ล้านบาท

“เอ็กซิมแบงค์ยังได้รับอนุมัติเงินเพิ่มทุนจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน 4,198 ล้านบาท นับเป็นการเพิ่มทุนครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยแบ่งจ่ายงวดที่ 1 จำนวน 2,198 ล้านบาท ซึ่ง เอ็กซิมแบงค์ได้รับเรียบร้อยแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2564 และงวดที่ 2 อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ภายในปี 2565 ทำให้ เอ็กซิมแบงค์เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถทำการค้าการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตลาดเป้าหมายในกลุ่ม CLMV และตลาดใหม่ ที่มีศักยภาพได้มากยิ่งขึ้น”นายรักษ์ กล่าว

นายรักษ์ กล่าวว่าในปี 2565 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจะขยายตัวถึง 4.9% ขณะที่การค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัว 6.7% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ระดับ 3.0% และ 2.7% ตามลำดับ ด้านเศรษฐกิจไทยในปี 2565 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวราว 5% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมีแรงหนุนสำคัญมาจากความคืบหน้าของการกระจายและฉีดวัคซีนทั่วโลก ขณะเดียวกัน สินค้าไทยหลายรายการยังตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้ดี โดยเฉพาะสินค้าอาหารและผลไม้ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน(Work from Home )ของใช้ในบ้าน และสินค้าทางการแพทย์

นอกจากนี้ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2565 เป็นต้นไป นั่นหมายถึง ไทยจะเข้าร่วมตลาดขนาดใหญ่ครอบคลุมอาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวม 15 ประเทศ คิดเป็นกำลังซื้อกว่า 30% ของโลกหรือราว 2,200 ล้านคน  ซึ่งไทยส่งออกไปประเทศสมาชิก RCEP อยู่แล้วกว่า 50% ของมูลค่าส่งออกรวม ทำให้สินค้าไทยราว 30,000 รายการ อาทิ ผลไม้ ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ ได้รับการลดภาษีเหลือ 0% จึงเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสเจาะตลาดให้แก่ผู้ส่งออกไทยได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง อาทิ การกลายพันธุ์และการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่อาจฉุดรั้งการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าบางแห่ง อัตราแลกเปลี่ยนที่อาจผันผวนมากขึ้นหลังธนาคารกลางสำคัญของโลกโดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ หันมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ และปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบโดยเฉพาะชิป รวมถึงต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจกดดันให้ Margin ของผู้ส่งออกไทยลดลงได้

นายรักษ์ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยปี 2565 จะกำลังฟื้นตัว แต่ยังขยายตัวต่ำและฟื้นตัวช้ากว่าหลายประเทศ เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ทำให้วิกฤตโควิด-19 สร้างผลกระทบและมีบาดแผลที่ลึกกว่าประเทศคู่ค้า อาทิ ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยมีจำนวนมาก แต่ยังมีบทบาทต่อเศรษฐกิจน้อยเพราะส่วนใหญ่ค้าขายในประเทศเป็นหลัก เศรษฐกิจไทยจะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน เมื่อผู้ประกอบการลุกขึ้นมาปรับหรือเปลี่ยนสินค้าและกิจการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตามเทรนด์ใหม่ ๆ ของโลกได้ ภายใต้บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนา

ทั้งนี้จะวางรากฐานการยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่นวัตกรรมยุคใหม่อย่างยั่งยืน สนับสนุนธุรกิจทุกระดับในทุกอุตสาหกรรมทุกช่วงธุรกิจตั้งแต่ “เกิด แก่ เจ็บ และตาย” ด้วยบริการครบวงจร ได้แก่ 1. เกิด คือ การบ่มเพาะความรู้และเติมทุน เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และตั้งต้นส่งออก อาทิ บริการสินเชื่อผู้ส่งออกป้ายแดง การจัดอบรมและให้คำปรึกษาแนะนำ

2.แก่ คือ การเสริมทุนและสร้างโอกาสทางการตลาด เพื่อส่งเสริมการขยายกิจการให้เติบโตอย่างมั่นคง อาทิ สินเชื่อเพื่อขยายกำลังการผลิต การจับคู่ธุรกิจ การจัดให้มีแพลตฟอร์มการค้า EXIM Thailand Pavilion 3.เจ็บ คือ การช่วยเหลือเยียวยาจากผลกระทบ เมื่อเกิดวิกฤต อาทิ สินเชื่อฟื้นฟู เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงและความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน  และ4. ตาย คือ  การดูแลธุรกิจที่เริ่มไปต่อได้ยากให้มีมูลค่าเพิ่ม หรือสามารถแปลงร่างกลับมาสู่เทรนด์โลกได้ อาทิ สินเชื่อ EXIM Biz Transformation Loan

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เอ็กซิมแบงก์' โชว์ปล่อยกู้ทุบสถิติ

“เอ็กซิมแบงก์” อวดผลงานปี 66 ปล่อยสินเชื่อใหม่พุ่ง 7 หมื่นล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โกยกำไร456 ล้านบาท ปี 67ปักธงภารกิจพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน เดินหน้า Green Development Bank

EXIM BANK แกร่ง ฟิทช์ คงอันดับเรทติ้งส์ในประเทศที่ AAA

EXIM BANK โชว์สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง คงอันดับเครดิตภายในประเทศระดับ AAA(tha) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 และคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ ‘BBB+’ เท่ากับประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11

เอสซีจี เผยรายได้หาย-กำไรหดปรับเป้าโตต่ำกว่า 10%

เอสซีจี เผยรายได้หาย-กำไรหด ปรับเป้าโตต่ำกว่า 10% หั่นงบลงทุนเหลือ 4 หมื่นล้านบาท พร้อมเปิดรายได้ไตรมาส 2/66 ทำได้ 1.24 แสนล้านบาท ลดลง 18% จากราคาขายเคมีภัณฑ์ตก ชี้ต้องรัดเข็มขัดจากศก.โลก มีความท้าทายสูง

‘เอ็กซิมแบงก์’ อวดผลงานไตรมาส 1 กำไร 305 ล้าน ปล่อยกู้ใหม่กระฉูด

“เอ็กซิมแบงก์” อวดผลดำเนินงานไตรมาส 1/2566 กวาดกำไร 305 ล้านบาท ฟุ้งอนุมัติสินเชื่อใหม่แตะ 1 หมื่นล้านบาท ลุยอุ้มเอสเอ็มอีเต็มสูบ สำรองแน่นปึ๊ก 1.3 หมื่นล้านบาท