สนพ. เผยยอดใช้พลังงานช่วง 9 เดือนเพิ่มขึ้น 2.2% รับอานิสงส์จากการการท่องเที่ยว

สนพ. เผยยอดใช้พลังงานช่วง 9 เดือนของปี 66 เพิ่มขึ้น 2.2% สวนทางการส่งออกสินค้า – การใช้จ่ายภาครัฐลดลง แต่รับอานิสงส์จากการการท่องเที่ยว และการอุปโภคบริโภคครัวเรือน คาดทั้งปีอยู่ที่ 1.3%

18 ธ.ค. 2566 – นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า จากรายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ของ สศช. ขยายตัว 1.5% ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 2 เนื่องจากการส่งออกสินค้าที่ลดลง และการใช้จ่ายของภาครัฐบาลลดลง เป็นผลมาจากการลดลงค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขหลังการฟื้นตัวของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.9% นั้น แต่สวนทางกับสถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนของปี 2566 (ม.ค. – ก.ย.) ที่พบว่า การใช้พลังงานขั้นต้นอยู่ที่ 2,039 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.2%

ทั้งนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ก๊าซธรรมชาติและ LNG 9.4% รองลงมาคือ การใช้น้ำมันที่ 2.0% ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่การใช้ลิกไนต์ลดลง 9.8% การใช้ถ่านหินลดลง 10.3% และการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้าลดลงที่ 11.7% สอดคล้องกับการบริการขยายตัวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการอุปโภคบริโภคครัวเรือนขยายตัวต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนเร่งขึ้น

“สำหรับการคาดการณ์ความต้องการพลังงานขั้นต้น ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 2,022 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับปี 2565 จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ จากความต้องการการเดินทางที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นทั้งการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางระหว่างประเทศ การขยายตัวของการลงทุนทั้งการลงทุนภาคเอกชน โดยการใช้น้ำมัน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเครื่องบินจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศ” นายวัฒนพงษ์ กล่าว

ขณะที่สถานการณ์พลังงานรายเชื้อเพลิงในช่วง 9 เดือนของปี 2566 สรุปได้ดังนี้ การใช้น้ำมันสำเร็จรูป อยู่ที่ระดับ 139 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.3% โดยการใช้น้ำมันเบนซินอยู่ที่ระดับ 30 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 4.9% อย่างไรก็ตามจากการที่น้ำมันกลุ่มเบนซินมีราคาสูงทำให้มีการใช้สัดส่วนการใช้แก๊สโซฮอล95 สูงสุดที่ 76% เมื่อเทียบกับแก๊สโซฮอล91 และเบนซิน95 ที่ร้อยละ 22 และ 2 ตามลำดับ สำหรับการใช้น้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 62 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงที่ 4.5% ผลจากราคาน้ำมันที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า อีกทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวทำให้การใช้น้ำมันในภาคขนส่งมีความต้องการลดลงไปด้วย ด้านการใช้น้ำมันเครื่องบิน อยู่ที่ระดับ 13.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 65.1% เป็นผลมาจากจากสถานการณ์การเดินทางภายในและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ด้านน้ำมันเตา อยู่ที่ระดับ 5.7 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง 11.4% โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม

ด้าน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG โพรเพน และบิวเทน) อยู่ที่ระดับ 18.5 พันตันต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.4% โดยการใช้ LPG เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีสัดส่วนการใช้สูงสุดคิดเป็น 45% มีการใช้ลดลง 2.2% รองลงมาภาคครัวเรือนซึ่งมีสัดส่วนการใช้คิดเป็น 31% มีการใช้ลดลง 0.8% ภาคขนส่งมีสัดส่วน 13% มีการใช้เพิ่มขึ้น 3.7% ภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วน 10% มีการใช้เพิ่มขึ้น 0.9% ในขณะที่การใช้เอง ซึ่งมีสัดส่วน 1% มีการใช้เพิ่มขึ้น 95.4% ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซโซลีนธรรมชาติ (NGL) อยู่ที่ระดับ 4,478 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเพิ่มขึ้น 5.5% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ผลิตไฟฟ้า 11.1% ในขณะที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลง 1.9% การใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลง 4.4% และใช้ในโรงแยกก๊าซฯ ลดลง 1.4%

นายวัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการใช้ไฟฟ้า ช่วง 9 เดือนของปี 2566 รวมทั้งสิ้น 153,932 กิกะวัตต์ชั่วโมงเพิ่มขึ้น 2.6% โดยการใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 42% อยู่ในภาคอุตสาหกรรม มีการใช้ลดลง 3.3% โดยเป็นการลดลงสำหรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยอุตสาหกรรมเหล็กและโลหะพื้นฐานลดลงสูงสุดที่ 10.0% ในส่วนการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนสัดส่วน 29% มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 6.2% และการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจมีสัดส่วน 24% มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 8.4% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจโรงแรม อพาร์ทเมนท์และเกสเฮาส์

เพิ่มเพื่อน