รฟท.ถก 'ซีพี' สางปมแก้ไขสัญญาไฮสปีดเชื่อมสามสนาม

รฟท.ถก“ซีพี-สกพอ”สางปมไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินลุยชงอัยการพิจารณาต้นปีหน้า ปักธงลงนามแก้ไขสัญญาภาย เดือนพ.ย.67 ส่วนพื้นที่ทับซ้อน เร่งเจรจาเอกชนต้องก่อสร้างให้สอดคล้องกับทางมาตรฐานจีนที่รองรับโครงการรถไฟความเร็วสูง

15 ธ.ค. 2566 – นายอนันต์ โพธ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย ประกอบด้วย รฟท., สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด (ซีพี) ในการแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) เชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โดยมีนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการ รฟท.เป็นประธาน ว่า เบื้องต้นที่ประชุมได้ข้อสรุปการแก้ไขสัญญาในหลักการตามมติ กพอ.และจะมีการสรุปรายละเอียดเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.และสำนักอัยการสูงสุดพิจารณาภายในเดือนมกราคม 2567

อย่างไรก็ตามคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะใช้เวลาพิจารณา 30 วัน ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เบื้องต้นจึงคาดว่าจะลงนามแก้ไขสัญญาภายในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยหากมีการลงนามแก้ไขร่างสัญญาแล้วเสร็จ ทางเอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหารแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จำนวน 3 งวดย้อนหลัง วงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท

สำหรับรายละเอียดของการแก้ไขสัญญาโครงการฯ ในครั้งนี้ จะสอดคล้องกับมติของ กพอ. ประกอบด้วย 3 เรื่อง1.การชำระค่าสิทธิแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ในการผ่อนชำระ 7 งวด จากกรณีที่เอกชนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 2.แนบท้ายสัญญาที่มีเงื่อนไขหากเกิดเหตุสุดวิสัยในอนาคต สามารถเจรจากับเอกชนได้ และ 3.การก่อสร้างโครงสร้างทางร่วมช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง

“วันนี้ได้ข้อสรุปร่วมกันเรื่องแก้ไขสัญญาในประเด็นสำคัญเรื่องการทยอยจ่ายสิทธิบริหารแอร์ พอร์ต เรล ลิงก์ และการจัดทำแนบท้ายสัญญากรณีเกิดเหตุสุดวิสัยในอนาคต ส่วนประเด็นก่อสร้างทางร่วมช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไขของการพิจารณาแก้ไขร่างสัญญา ดังนั้นเรื่องนี้ยังมีเวลาที่จะเจรจาร่วมกัน”นายอนันต์ กล่าว
อย่างไรก็ตามการก่อสร้างโครงสร้างร่วมตามมติ กพอ.มีแนวทางการ คือ รฟท.ต้องเจรจากับเอกชนเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง โดยต้องก่อสร้างให้สอดคล้องกับทางมาตรฐานจีนที่รองรับโครงการรถไฟความเร็วสูงด้วย 2.หากเอกชนไม่ยอมก่อสร้างทาง รฟท.ต้องเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างแทน โดย รฟท.อยากให้ระยะเวลาดำเนินการกระชับที่สุด เพราะไม่อยากให้กระทบต่อการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) ไทย-จีน

ทั้งนี้ความเป็นไปได้มากที่สุด คือเอกชนคู่สัญญาควรเป็นผู้ก่อสร้าง ซึ่ง รฟท.อยู่ระหว่างคำนวณระยะเวลาดำเนินการให้เหมาะสม คาดว่าจะได้ข้อสรุป เดือนม.ค.2567

นอกจากนี้ในประเด็นที่เอกชนยังไม่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอนั้น เรื่องนี้เป็นขั้นตอนในการยื่นบัตรส่งเสริม โดยต้องกรอกรายละเอียดของการลงทุนของสัญญา ซึ่งเอกชนมองว่าการแก้ไขร่างสัญญาอาจจะมีผลด้านการเงิน เช่น ในกรณีที่เอกชนเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างทางร่วมอาจจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติม ปัจจุบันรฟท.จึงอยู่ระหว่างหารือต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) โดยไม่ต้องรอบัตรส่งเสริมด้านการลงทุน

“ขณะนี้ รฟท.มีความพร้อมที่จะส่งมอบพื้นที่ช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา แก่เอกชนครบ 100 % ตั้งแต่เดือนตุลาคม2564 แล้ว รวมทั้งการส่งมอบพื้นที่โครงการฯ และการส่งมอบพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการของโครงการฯ (TOD มักกะสัน) ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเพิกถอนลำรางสาธารณะ คาดว่าจะออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงานได้เร็วๆ นี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากบีโอไอด้วย โดยเอกชนมีสิทธิขอยื่นบัตรส่งเสริมด้านการลงทุนต่อบีโอไอได้ 3 ครั้ง ขณะนี้เอกชนได้ยื่นไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 22 มกราคม 2567” นายอนันต์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน