12 ธ.ค. 2566 – นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเดือนพฤศจิกายน 2566 ทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวในประเทศ ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลเฉลิมฉลอง และเป็นการสำรวจต่อเนื่องจากเดือนพฤศจิกายน 2565 สำหรับผลการสำรวจพบว่า ประชาชนมีแผนท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยภาคเหนือยังเป็นจุดหมายที่ครองใจประชาชนอันดับหนึ่ง และคาดว่าจะใช้จ่ายไม่เกิน 10,000 บาท/คน/ทริป ในหมวดค่าเดินทาง อาหาร และที่พัก อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านภาระทางการเงิน ระดับราคาสินค้าและบริการ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายและยังไม่มีแผนการท่องเที่ยว โดยมีรายละเอียดผลการสำรวจ ดังนี้
แผนการท่องเที่ยว ในภาพรวม พบว่า มีผู้ตอบร้อยละ 32.19 ที่มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจในปี 2565 (ร้อยละ 30.28) เมื่อพิจารณารายอาชีพ ระดับรายได้ และรายภาค พบว่า ผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นพนักงานของรัฐ (ร้อยละ 43.10) พนักงานบริษัท (ร้อยละ 41.85) นักศึกษา (ร้อยละ 40.25) โดยมีรายได้ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป แบ่งเป็น รายได้มากกว่า 50,000 บาท/เดือน (ร้อยละ 47.37) และระหว่าง 30,001-50,000 บาท/เดือน (ร้อยละ 43.07) โดยกลุ่มผู้อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีแผนท่องเที่ยว
ในสัดส่วนที่มากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 52.91) ส่วนหนึ่งคาดว่าอาจเป็นเพราะกำลังซื้อที่สูงตามระดับรายได้ของครัวเรือนที่สูงกว่าภาคอื่น ๆ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่ไม่มีแผนท่องเที่ยวยังคงมีความกังวลใน 3 เรื่องหลัก เช่นเดียวกับปี 2565 คือ ภาระทางการเงิน ระดับราคาสินค้าและบริการ และไม่ชอบการเดินทาง อย่างไรก็ดี มีผู้ตอบบางส่วนซึ่งเป็นผู้ประกอบการ พนักงานของรัฐ และมีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป ให้เหตุผลว่าจะมีแผนท่องเที่ยวหลังจากนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567
สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ในภาพรวม ภาคเหนือ (ร้อยละ 42.55) ยังคงเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมสูงเช่นเดียวกับการสำรวจในปี 2565 อาจเนื่องด้วยเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นสบาย มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม และแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ รองลงมาคือ ภาคกลาง (ร้อยละ 15.72) และภาคใต้ (ร้อยละ 15.32) เมื่อพิจารณารายอาชีพ และระดับรายได้ พบว่าภาคเหนือยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับแรกในทุกกลุ่มอาชีพและระดับรายได้ แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้อาศัยในภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแนวโน้มท่องเที่ยวในภูมิภาคของตนเองค่อนข้างสูง ซึ่งอาจสะท้อนถึงความต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และการหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรที่อาจทำให้การเดินทางไม่สะดวกและรวดเร็ว
แผนการใช้จ่าย ในภาพรวม ผู้ตอบร้อยละ 42.07 คาดว่าจะใช้จ่ายระหว่าง 5,001 – 10,000 บาท/คน/ทริป เพื่อเป็นค่าเดินทาง อาหาร และที่พัก เช่นเดียวกับการสำรวจในปี 2565 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ตอบที่จะใช้จ่ายมากกว่า 10,000 บาท/คน/ทริป มีสัดส่วนร้อยละ 33.22 สูงกว่าผลการสำรวจในปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 26.47 สะท้อนถึงการจับจ่ายใช้สอยการท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการพิจารณารายอาชีพ ระดับรายได้ และภูมิภาค พบว่า ระดับค่าใช้จ่าย และกลุ่มสินค้าและบริการที่จะใช้จ่ายสอดคล้องกับภาพรวม มีเพียงผู้ตอบในอาชีพผู้ประกอบการ ที่จะใช้จ่ายระหว่าง 10,001 – 30,000 บาท/คน/ทริป (ร้อยละ 42.29) นักศึกษา ที่จะใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาท/คน/ทริป (ร้อยละ 44.93) และผู้มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท/เดือน ที่จะใช้จ่ายระหว่าง 10,001 – 30,000 บาท/คน/ทริป แบ่งเป็น ระหว่าง 30,001-50,000 บาท/เดือน (ร้อยละ 45.40) มากกว่า 50,000 บาท/เดือน (ร้อยละ 41.67)
ข้อกังวลระหว่างการท่องเที่ยว ในภาพรวม 3 อันดับแรก คือ การจราจร (ร้อยละ 57.97) ระดับราคาสินค้าและบริการที่อาจสูงขึ้นกว่าปกติ (ร้อยละ 46.71) และความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยว (ร้อยละ 46.24) เช่นเดียวกับการสำรวจในปีก่อน สำหรับการพิจารณารายอาชีพ ระดับรายได้ และภูมิภาค พบว่า ข้อกังวล 3 เรื่องแรกค่อนข้างสอดคล้องกับภาพรวม มีเพียงพนักงานบริษัท และผู้อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่กังวลเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่ท่องเที่ยว (ร้อยละ 37.18 และ 43.69) อาทิ ที่จอดรถ และห้องน้ำ ส่วนความกังวลในระดับราคาสินค้าและบริการมีไม่มากนัก (ร้อยละ 31.79 และ 16.50) ขณะที่ผู้อาศัยในภาคใต้ กังวลถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (ร้อยละ 38.22) มากกว่าความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยว (ร้อยละ 37.33)
นายพูนพงษ์ กล่าวถึงผลการสำรวจครั้งนี้ว่า การท่องเที่ยวในประเทศช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2566 มีแนวโน้มคึกคัก โดยเฉพาะในภาคเหนือ และการท่องเที่ยวภายในภูมิลำเนาทั้งในภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ดังนั้น หน่วยงานและสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวก ทั้งการจราจร การบริหารจัดการพาหนะขนส่งสาธารณะให้เพียงพอ และการดูแลสถานที่ท่องเที่ยวให้เกิดความแออัดน้อยที่สุด ตลอดจนการเตรียมบริการสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้สามารถรองรับจำนวนประชาชนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ความกังวลที่ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนยังระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ในส่วนของประเด็นระดับราคาสินค้าและบริการ และภาระทางการเงิน กระทรวงพาณิชย์ได้กำกับดูแลการจำหน่ายสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงโอกาสสำคัญและเทศกาลต่าง ๆ ที่ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากเป็นพิเศษ เพื่อให้มีปริมาณจำหน่ายเพียงพอในระดับราคาที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ยังได้ส่งเสริมการสร้างรายได้ให้เกษตรกร และผู้ประกอบการทุกระดับ เพื่อเพิ่มรายได้และขยายโอกาสในการประกอบอาชีพให้กับประชาชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของประเทศให้เกิดความเข้มแข็ง ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างสมดุล และจะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พาณิชย์เผยอัตราเงินเฟ้อไทยไทยต่ำเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้มีการติดตามข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อสะท้อนให้เห็นภาพเศรษฐกิจโดยรวมของกลุ่มประเทศดังกล่าวเนื่องจากเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย
ส่งออกเดือน ก.ค.67 เพิ่ม 15.2% พลิกกลับมาเป็นบวก เติบโตสูงสุดในรอบ 28 เดือน
“พาณิชย์”เผยการส่งออกเดือน ก.ค.67 มีมูลค่า 25,720.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 15.2% พลิกกลับมาเป็นบวก และเติบโตสูงสุดในรอบ 28 เดือน เหตุส่งออกเพิ่มทั้งเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรม รวมยอด 7 เดือน มูลค่า 171,010.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 3.8% ยันเป้าทั้งปีตามเป้า 1-2% มีลุ้นแตะกรอบบนที่ 2%