“สุรพงษ์”ลงพื้นที่เช็กคืบหน้าสร้างรถไฟทางคู่สายใต้เสร็จเกือบ 100% ปักหมุด15 ธ.ค.นี้ เปิดเดินรถช่วงสถานี”บ้านคูบัว-สถานีสะพลี” พร้อมเปิดเพิ่มช่วงนครปฐม-บ้านคูบัว และ ช่วงสะพลี-ชุมพร เม.ย.67 และเปิดตลอดสายกลางปี 67เดินหน้าเพิ่มศักยภาพการขนส่งและยกระดับศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียน
1 ธ.ค. 2566 – นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเปยภายหลังลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการเปิดเดินรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-หัวหินว่าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระยะทาง 421 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 3.39 หมื่นล้านบาท โดยภาพรวมการก่อสร้างได้ผลงาน 99% จากแผนงาน100% ช้ากว่าแผน 1% หรือเสร็จเกือบ 100% แล้ว คงเหลือการเก็บรายละเอียดงานสถานีเล็กน้อย รวมทั้งงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เปิดตลอดทั้งสาย มิ.ย.67
นอกจากนี้ในระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.66 เป็นต้นไป รฟท. เริ่มการเดินรถไฟทางคู่ (แบบไม่มีระบบอาณัติสัญญาณเต็มระบบ) ช่วงสถานีบ้านคูบัว-สถานีสะพลี ระยะทาง 280 กม. รวมถึงใช้ประกาศกำหนดเวลาเดินรถใหม่ ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 11-14 ธ.ค. 2566 รฟท. จะมีการทดลองเดินรถโดยวิธีทางคู่ชั่วคราว และงดการจัดขบวนหลีกเพื่อให้การเดินรถเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยก่อนการเปิดให้บริการประชาชน
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.66 จะเปิดบริการสถานีรถไฟหัวหินใหม่ และ จะปรับให้สถานีหัวหินเดิมไปเป็นสถานีอนุรักษ์ ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปถ่ายรูปเล่นได้ นอกจากนี้ในระยะที่ 2 ช่วงนครปฐม-บ้านคูบัว และ ช่วงสะพลี-ชุมพร (ช่วงที่เหลือ) ระยะทาง 70 กม. รฟท. คาดว่าจะสามารถเปิดเดินรถไฟทางคู่ใต้ภายในเม.ย.67
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 ช่วงนครปฐม-หนองปลาไหล ระยะทาง 93 กม. วงเงิน 8.19 พันล้านบาท ได้ผลงาน 97.214% จากแผนงาน 98.326% ช้ากว่าแผน 1.112% สัญญาที่ 2 ช่วงหนองปลาไหล-หัวหิน ระยะทาง 76 กม. วงเงิน 7.52 พันล้านบาท ผลงาน 98.326% จากแผนงาน 98.315% ช้ากว่าแผน 0.011% สัญญาที่ 3 ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กม. วงเงิน 5.80 พันล้านบาท ผลงาน 100%
สัญญาที่ 4 ช่วงประจวบคีรีขันธ์-บางสะพานน้อย ระยะทาง 88 กม. วงเงิน 6.46 พันล้านบาท ผลงาน 94.633% จากแผนงาน 98.567% ช้ากว่าแผน 3.934% สัญญาที่ 5 ช่วงบางสะพานน้อย-ชุมพร ระยะทาง 79 กม. วงเงิน 5.99 พันล้านบาท ผลงาน 98.016% จากแผนงาน 97.502% เร็วกว่าแผน 0.514% และ สัญญาที่ 6 การจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม วงเงิน 6.21 พันล้านบาท ผลงาน 54.595% จากแผนงาน 59.153% ช้ากว่าแผน 4.194% คาดเสร็จแบบ 100% ในปี 68
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้สั่งการให้ รฟท. หาแนวทางออกร่วมกันในการแก้ปัญหาจุดทางลักผ่าน บริเวณสถานีรถไฟชุมทางหนองปลาดุก ซึ่งเป็นทางลักผ่านแห่งเดียวใน จ.ราชบุรี จากที่มีทางลักผ่านรถไฟทั้งหมด 616 ทั่วประเทศ ในกรณีของสถานีรถไฟชุมทางหนองปลาดุกจะมีการปิดทางลักผ่าน เพื่อให้มีความปลอดภัย และแก้ปัญหาอุบัติเหตุ ขณะเดียวกันต้องไม่กระทบวิถีชีวิตประชาชนในพื้นที่ ยังสามารถสัญจรผ่านได้ จึงมอบหมายให้ รฟท. ไปหาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการ ซึ่งอาจจะก่อสร้างทางลอด งบประมาณ 30 ล้านบาท โดยจะหาข้อสรุปรูปแบบที่ชัดเจนและแผนดำเนินการต่อไป เมื่อแล้วเสร็จจะเป็นต้นแบบในการนำร่องในพื้นที่ จ.ราชบุรี จะไม่มีทางลักผ่านและจากนั้นจะขยายผลไปใช้ในพื้นที่อื่นต่อไป
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า เมื่อเส้นทางสายใต้เปิดเดินรถไฟทางคู่ตลอดเส้นทาง จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง ลดระยะเวลาในการเดินทาง เช่น จากเดิมเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงหัวหินใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง จะลดลงเหลือเพียง 3 ชั่วโมง รวมถึงลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมยกระดับคุณภาพชีวิต จนเกิดเป็นคมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน
ทั้งนี้ สั่งให้ รฟท. เร่งดำเนินแผนจัดหาขบวนรถโดยสารใหม่มาบริการประชาชนตามแผนที่วางไว้ เช่น การจัดหารถโดยสารดีเซลรางปรับอากาศ 184 คัน พร้อมอะไหล่ วงเงินประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าแม้จะดำเนินการตามแผน แต่ต้องรอความเห็นจากหน่วยงานภายนอกด้วย เช่น สภาพัฒน์
ด้าน นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า หลังจากเปิดให้บริการรถไฟทางคู่สายใต้แล้ว มีแผนจะเปิดบริการรถไฟทางคู่สายอีสาน ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 135 กม. วงเงิน 2.99 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนจะเปิดบริการบางช่วงก่อน คือ ช่วงบันไดม้า-คลองขนานจิต ระยะทาง 23 กม. คาดจะเปิดบริการเดือนช่วงหลัง สงกรานต์ เดือน เม.ย.ปี 67
นายสุรพงษ์ กล่าวว่าด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้เร่งรัดพัฒนาทางรถไฟขนาด 1 เมตร ในปัจจุบันให้เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง สปป.ลาว มาเลเซีย และกัมพูชา และเชื่อมโยงกับจีน ผ่านการพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่เพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งและยกระดับศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียน และใช้ศักยภาพของโครงข่ายรถไฟที่มีในปัจจุบันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และให้ระบบการขนส่งทางเป็นระบบคมนาคมขนส่งหลักของประเทศและภูมิภาคอาเซียนเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันของภูมิภาคอาเซียนได้
สำหรับการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงขนาดทางมาตรฐาน กรุงเทพฯ-หนองคาย โดยเร่งดำเนินการช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ให้เปิดบริการได้ในปี 2571 และช่วงนครราชสีมา-หนองคาย เพื่อเปิดให้บริการ ในปี2573 โดยพัฒนาก่อสร้างสะพานรถไฟแห่งใหม่ รองรับการเดินทางแบบไร้รอยต่อ เพื่อเปิดให้บริการในปี 2572
ขณะที่แนวโครงข่ายเส้นทางรถไฟช่วงหนองคาย กรุงเทพฯ ปาดังเบซาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง ที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาเส้นทางรถไฟดังกล่าวอย่างมาก เส้นทางจะเชื่อมโยงกันที่กรุงเทพฯ จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการเดินทางโดยรถไฟและการคมนาคม ในภูมิภาค รองรับความต้องการในการสินค้า การบริการ การท่องเที่ยวหรือการลงทุนในภูมิภาคจะเพิ่ม มากขึ้น
นายสุรพงษ์ กล่าวปิดท้ายว่าได้สั่งการให้บูรณาการการขับเคลื่อนการดำเนินงานขับเคลื่อนการดำเนินงานกับประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบคณะกรรมการต่างๆ เช่น คณะกรรมการร่วมระหว่างไทย ลาว จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อหารือแนวทางการในบูรณาการการขนส่งร่วมกันในอนาคตที่จะนำมา ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภาคปชช.งัดคำพิพากษา จี้ 'อธิบดีกรมที่ดิน' เพิกถอนสิทธิ์ 'ที่ดินเขากระโดง' ให้เป็นไปตามกฎหมาย
นายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ตัวแทนผู้ประสานงาน คณะราษฎรไทยแห่งชาติ (ครช.) และอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา(สว.) กลุ่ม 17 จ.นครปฐม ได้ยื่นหนังสือทักท้วง อธิบดีกรมที่ดิน กรณีที่ดินเขากระโดง ใช้อำนาจไม่เป็นไป ตามกฎหมาย ม.61 มีใจความว่า
'กรมที่ดิน' ยืนกรานยึดกฎหมายกรณีที่ดินเขากระโดง
กรมที่ดิน ชี้แจงอีกครั้งถึงผลการรังวัดที่ดินเขากระโดง ว่าดำเนินการครบถ้วนถูกต้อง ตามคำพิพากษาศาลปกครอง และร่วมตรวจสอบแนวเขตที่ดิน กับ รฟท. ตามกฎหมายทุกขั้นตอน
'สุริยะ' ลั่น รฟท.ไม่ยอมเสียที่ดินให้ใคร ขอให้จบในชั้นเจ้าหน้าที่ อย่าขยายประเด็นการเมือง
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์กรณีกรมที่ดินมีมติไม่เพิกถอนสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)และกรมที่ดิน