บอร์ด รฟม. ไฟเขียวลดราคาสายสีม่วง 20 บาทตลอดสาย จ่อชง ‘คมนาคม’ 29 ก.ย.นี้ เริ่ม 1 ธ.ค.นี้ คาดรายได้หดปีละ 190 ล้าน ดันผู้โดยสารเพิ่มวันละ 1 หมื่นคน ส่วนเด็ก-ผู้สูงอายุ เหลือ 7-10 บาทตลอดสาย ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
28 ก.ย.2566 -นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. โดยมีนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เป็นประธานฯ ว่า ตามที่รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม มีนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในอัตรา 20 บาทตลอดสาย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน โดยจะเร่งรัดดำเนินการทันทีในเส้นทางที่ภาครัฐเป็นผู้เก็บค่าโดยสาร ซึ่งครอบคลุมถึงรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม หรือ MRT สายสีม่วง ช่วงคลองบางไผ่-เตาปูน ระยะทาง 23 กิโลเมตร (กม.) จำนวน 16 สถานีของ รฟม. ด้วยนั้น
ทั้งนี้ บอร์ด รฟม. ได้มีมติเห็นชอบในแนวทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง 20 บาทตลอดสาย หรือเริ่มต้น 14 บาท สูงสุด 20 บาท ซึ่งในเบื้องต้นจะสามารถใช้ได้กับผู้ถือบัตรโดยสาร EMV เท่านั้น อีกทั้ง ยังเห็นชอบหลักการกำหนดส่วนลดการเปลี่ยนถ่ายระบบระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง รถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต โดยจะเชื่อมต่อที่สถานีบางซ่อน และจะต้องเปลี่ยนถ่ายระบบ ณ สถานีบางซ่อน ภายในระยะเวลา 30 นาที และใช้บัตรโดยสารใบเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม รฟม. เตรียมเสนอเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงคมนาคมในวันที่ 29 ก.ย. 2566 ก่อนที่จะเสนอไปที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป และจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2566 เป็นต้นไป โดยภายหลังเปิดให้บริการนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รฟม.จะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี เพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ทั้งด้านตัวเลขผู้โดยสาร รายได้ รวมถึงจุดคุ้มทุนที่ รฟม. ไม่ต้องชดเชยรายได้ในอนาคตด้วย
นายภคพงศ์ กล่าวต่อว่า จากนโยบายดังกล่าว คาดว่า จะทำให้รายได้จากค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงของ รฟม. ลดลงประมาณ 60% หรือวงเงิน 190 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ คาดว่า จำนวนผู้โดยสารสายสีม่วงจากเพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นคนต่อวัน หรือคิดเป็น 17% จากปกติมีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยอยู่ที่ 5.6 หมื่นคนต่อวัน เพิ่มเป็น 6.6 หมื่นคนต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน รถไฟฟ้าสายสีม่วง มีขบวนรถไฟฟ้า 23 ขบวน รองรับได้กว่า 2 แสนคนต่อวัน
“การเดินทางเฉลี่ยของผู้โดยสารนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 8 สถานี จากจำนวนทั้งหมด 16 สถานี ค่าโดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 23 บาท ขณะที่การเดินทางข้ามสายระหว่างสายสีม่วงกับสายสีแดง ที่สถานีบางซ่อน ปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มาก หรืออยู่ที่ประมาณ 100-200 คนต่อวัน” นายภคพงศ์ กล่าว
นายภคพงศ์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการแบ่งรายได้นั้น จะใช้วิธีการเก็บจากสถานีต้นทาง กล่าวคือ หากผู้โดยสารขึ้นใช้บริการเริ่มต้นที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง รฟม. จะเป็นผู้รับรายได้ในส่วนนั้นไป หากผู้โดยสารขึ้นจากรถไฟฟ้าสายสีแดง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะเป็นผู้นับรายได้ในส่วนนั้นไปเช่นกัน โดยทั้งหมดนี้จะให้บริการผ่านระบบ EMV หรือการใช้บริการผ่านบัตรเครดิต และบัตรเดบิต เท่านั้น ไม่รับเงินสด หรือใช้ระบบเหรียญแบบในปัจจุบัน
ทั้งนี้ส่วนรายได้ที่ลดลงไปนั้น รฟม. จะต้องแจ้งไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อขอลดการนำส่งรายได้แผ่นดินจากส่วนแบ่งรายได้สัมปทานสายสีน้ำเงิน และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึง รฟม. ได้ตีมูลค่าของผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 5 ด้าน ประกอบด้วย การประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง, ประหยัดเวลาในการเดินทาง, ค่าความสุข, ลดการสูญเสียวการเกอดอุบัติเหตุทางถนน และลดการปล้อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปีละประมาณ 900 ล้านบาท
“โดย รฟม. จะนำมาชดเชยรายได้จากผู้โดยสารสายสีม่วง ซึ่งที่ผ่านมา รฟม. จะนำส่งรายได้ไปยังกระทรวงการคลัง อยู่ที่ประมาณ 20-25% ต่อปีของกำไรสุทธิ กล่าวคือ ปี 2563 รฟม. นำส่งรายได้อยู่ที่ 300 ล้านบาท, ปี 2564 นำส่งรายได้อยู่ที่ 467 ล้านบาท, ปี 2565 นำส่งรายได้อยู่ที่ 311 ล้านบาท ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีรายได้ที่จะต้องนำส่งอยู่ที่ประมาณ 223 ล้านบาท”นายภคพงศ์ กล่าว
นายภคพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง จากนโยบายของรัฐบาลนั้น จะสูงสุดไม่เกิน 20 บาท (จากอัตราค่าโดยสารปัจจุบัน สูงสุด 42 บาท) ระยะเวลาเปิดให้บริการตั้งแต่ 05.30-24.00 น. ทั้งนี้ เด็ก และผู้สูงอายุ จะได้รับส่วนลด 50% หรืออัตรา 7-10 บาทตลอดสาย ส่วนนักเรียนและนักศึกษา จะได้รับส่วนลด 10% จากอัตราค่าโดยสารใหม่
สำหรับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน นายภคพงศ์ กล่าวว่า โดยเบื้องต้น รฟม. ได้มีการหารือร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ซึ่งทางเอกชนอยู่ระหว่างประเมินตัวเลขเกี่ยวกับการชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากนโยบายดังกล่าว นอกจากนี้ ได้รับทราบจากกระทรวงคมนาคม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการเพื่อเจรจาร่วมกับภาคเอกชน