“ครม.” เคาะเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2565 อยู่ในช่วง 1-3% เหมาะช่วยหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว ชี้สอดคล้องเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง หลังเศรษฐกิจได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ
15 ธ.ค. 2564 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2564ได้มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2565โดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับปี 2565 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยได้รับผลกระทบอย่างมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่มีความยืดเยื้อ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงที่ผ่านมาและในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงิน
โดยมีปัจจัยสำคัญคือ 1.กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงเป็นวงกว้างตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจทำให้เศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป 2.รายได้และกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในระดับต่ำจากตลาดแรงงานที่มีความเปราะบางตามการเพิ่มขึ้นของผู้ว่างงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และ 3. ราคาสินค้าที่ปรับลดลงจากพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อไทยในอนาคตอาจจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ความผันผวนของราคาพลังงานและราคาอาหารสด การเกิดภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) และการทวนกระแสโลกาภิวัตน์(Deglobalization) ที่อาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นได้
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายที่ยังมีความเหมาะสมภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19เนื่องจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าและในระยะปานกลางจะเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงกับเป้าหมายและไม่ได้ปรับลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และสามารถยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชนได้ดี โดยในปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่กำหนด (Well-Anchored)
ขณะที่การกำหนดเป้าหมายแบบช่วงที่มีความกว้าง 2% มีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงช่วยเอื้อให้การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ รวมถึงการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
“คลังและ ธปท.จะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน โดย กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้ รมว.การคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไปด้วย” นายพรชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี กนง. จะติดตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไป ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึง รมว.การคลัง โดยจะชี้แจงถึงสาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย และในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รมว.การคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอ ครม. พิจารณา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ธปท.จับตาแจกเงินเฟส2-3
“คลัง” ฟุ้งเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย.โตต่อเนื่อง อานิสงส์ส่งออก-ท่องเที่ยวหนุนเต็มพิกัด