รฟท.เร่งแผนพัฒนาที่ดินสร้างรายได้ ระบบราง-ไฮสปีดจุดเปลี่ยนของรถไฟสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ-สังคม

28 ส.ค. 2566 – ด้วยหนี้สะสมจำนวนมหาศาลกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท.ต้องเร่งเดินหน้าแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2566-2570 หรือแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อมุ่งเน้นการวางแผนธุรกิจเพื่อหารายได้จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ โดยเฉพาะการใช้ระบบทางคู่ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งภายใต้แผนนี้ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขัน, ยุทธศาสตร์ที่ 2 พลิกฟื้นธุรกิจหลัก อาทิ ขยายการขนส่งสินค้าในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ, บริการจัดหาขบวนรถโดยสารเพื่อลดการขาดทุน

ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาและสร้างรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการขนส่งระบบราง โดยจะเร่งสร้างรายได้จากการบริหารสัญญาเช่าทรัพย์สินและขยายธุรกิจใหม่เพื่อสร้างรายได้ รวมถึงพัฒนารูปแบบการสร้างรายได้เสริม (Non-core), ยุทธศาสตร์ที่ 4 ปรับรูปแบบธุรกิจสู่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มระบบราง โดยต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานระบบทางคู่, ยุทธศาสตร์ที่ 5 ปฏิรูปองค์กรให้สอดคล้องกับการฟื้นฟู และ ยุทธศาสตร์ที่ 6 พัฒนาระบบรางด้วย BCG Model และนวัตกรรมสีเขียว

เร่งพัฒนาที่ดินเพิ่มรายได้

ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวนั้น ภายหลังจากดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการ รฟท.ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ รวมไปถึงการจัดตั้งบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ SRTA บริษัทลูก เพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟฯ อนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการ รฟท. ระบุว่า การพัฒนาที่ดินเป็นหนึ่งในภารกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้กับการรถไฟ แต่ด้วยความที่ รฟท.ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง จึงต้องตั้งบริษัทลูกขึ้นเพื่อเป็นผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์​ โดยมีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่ที่มีศักยภาพซึ่งมี​ 28 แปลง

โดยพื้นที่ที่จะเร่งดำเนินการคือใน พื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ซึ่งอยู่รอบสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ขณะนี้ได้มีการศึกษาวางผังแม่บท (Master Plan) การพัฒนาจะนำร่องพัฒนาพื้นที่แปลง A, แปลง E และแปลง G ก่อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจ้างบริษัทที่ปรึกษา คาดว่าจะสรุปผลศึกษาได้กลางปี 2566 และนำเสนอบอร์ด SRTA จากนั้นจะทำเรื่องขอเช่าพื้นที่ต่อจาก รฟท.ตามขั้นตอน ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในปี 2567

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกันยายน 2566 ทางผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นได้เชิญผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่มีความสนใจในการลงทุน​พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาดูพื้นที่ ดูแผนงานที่ รฟท.กำลังพัฒนา ได้แก่ ​แปลง A แปลง E รวมถึงพื้นที่แปลงบางซื่อทั้งหมด เนื่องจากที่ผ่านมา รฟท.เคยไปเป็นโรดโชว์มาครั้งหนึ่ง ทางผู้ประกอบการญี่ปุ่นให้ความสนใจในลักษณะของความร่วมมือ คือ ​กระทรวงคมนาคม​ ร่วมกับกระทรวงที่ดิน และการขนส่ง​ของรัฐบาลญี่ปุ่น

“การศึกษาแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่ย่านบางซื่อแบบบูรณาการ จำนวน 2,325 ไร่ โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ซึ่งแบ่งการพัฒนาเป็น 3 ระยะ มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565, ปี 2570 และปี 2575 (ตามลำดับ) ประเมินวงเงินลงทุนไว้กว่า 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าการพัฒนาพื้นที่แปลง A+E+G ออกประมูลพร้อมกันจะมีมูลค่าการลงทุนสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาทแน่นอน โดยมีแนวคิดในการรวมแปลง A มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท และแปลง E มูลค่า 4.6 หมื่นล้านบาทเข้าด้วยกัน เพราะอยู่ติดสถานีบางซื่อและมีศักยภาพสูง เพื่อจูงใจนักลงทุน” อนันต์ กล่าว

อนันต์ กล่าวว่า ส่วน พื้นที่บริเวณสถานีแม่น้ำ พื้นที่ขนาดใหญ่​ 277 ไร่ ติดแม่น้ำ รฟท.มีเป้าหมายพัฒนาให้เป็นไฮไลต์จุดใหม่ของกรุงเทพมหานครที่ผสมผสานกับพื้นที่สีเขียว แต่พื้นที่นี้มีข้อจำกัดในเรื่องทางเข้า-ออก ต้องหารือกับทางกรมธนารักษ์ในการเปิดพื้นที่ของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในโซนเดียวกันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ

พื้นที่ขอนแก่น มีพื้นที่ประมาณ​ 128 ไร่ และ 80 ไร่​ที่ขอนแก่นสำหรับการพัฒนาเชิงพาณิชย์เหมือนกัน เร็วๆ นี้จะมีที่ธนบุรี​ 21 ไร่​ กำลังทำอยู่ และมีกาญจนบุรี ทางหัวหินต่อสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว มี 2 ส่วน ในส่วนของสนามกอล์ฟยังไม่ได้ดำเนินการ ​ยังอยู่ระหว่างการเขียนแผนงาน และส่วนของโรงแรมเซ็นทรัล หัวหิน ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีที่ดินบริเวณ พื้นที่มักกะสัน ซึ่งเดิมเป็นโรงงานซ่อมรถไฟ แต่ล่าสุดมีแผนที่จะย้ายไปอยู่ที่เขาชีจรรย์ จ.ชลบุรี

“เราต้องการเร่ง​ 28​ แปลงนี้ให้เกิดการเช่าพื้นที่และมูลค่าการก่อสร้างในพื้นที่​อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนฟื้นฟูที่เร่งหารายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่ ซึ่งการรับรู้รายได้ในปัจจุบันกว่า 3 พันล้านบาท เก็บจริงจะมีรายได้ประมาณสองพันกว่าๆ เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทที่ขอยื่นขยายเวลา และต้องยอมรับว่าหลายๆ แปลงยังพัฒนาไปไม่ได้ เช่น พื้นที่บางซื่อแปลนชั้นใน​ก็จะมีสัญญาเดิมอยู่ส่วนหนึ่ง” อนันต์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าหาก รฟท.สามารถส่งต่อการดำเนินงานให้ SRTA ได้เร็ว SRTA จะสามารถนำที่ดินนั้นๆ ไปพัฒนาได้เร็ว และสามารถสร้างรายได้ให้ รฟท.ได้เร็วด้วยเช่นกัน โดยที่ดินแปลงใหญ่นั้นจะมีการศึกษา ประเมินมูลค่าวงเงินลงทุน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับศักยภาพและปัจจัยที่แตกต่างกันไปของที่ดินแต่ละแปลง ส่วนรายได้ที่ รฟท.จะได้รับเป็นส่วนของผลตอบแทนในการลงทุนที่จะประเมินตลอดอายุสัญญา หลักๆ จะอยู่ประมาณ 30% ของมูลค่าการลงทุน ซึ่งจะทยอยจ่ายเป็นรายปี ดังนั้นหากเปิดประมูลได้เร็ว รฟท.จะรับรู้รายได้เร็ว

เดินหน้าทางคู่เฟส 2

ดังนั้น นอกจากเร่งแผนการพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างรายได้แล้ว การปรับปรุงและพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่ง อนันต์ กล่าวว่า ในปี 2567 รฟท.จะเร่งเดินหน้าโครงการทางคู่ ระยะที่ 2 ซึ่งจะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดไปของ รฟท.ทั้งหมด รวมถึงผลักดัน โครงการก่อสร้างทางรถไฟแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Corridor) เส้นนี้สร้างยากมากเนื่องจากต้องผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร​ ดังนั้นจึงต้องปรับแบบใหม่และขออนุมัติคณะรัฐมนตรี หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้ทุกภาค เพราะปัจจุบันระบบรางเหนือใต้ครบแล้ว แต่ขาดเพียงการเชื่อมตะวันออกตะวันตก หากสำเร็จจะเพิ่มศักยภาพในด้านการขนส่งระบบรางให้กับประเทศ

“การพัฒนาทางคู่นั้นช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านการแข่งขัน เป้าหมายอันดับแรกคือ​การเพิ่มความเร็วเฉลี่ยของรถโดยสารจากปัจจุบันประมาณ​ 55-60 กม./ชม. อัปขึ้นไปได้ประมาณ​ 100 กม./ชม. และรถสินค้าประมาณ 25-35 กม./ชม. เพิ่มเป็น 55-60​ กม./ชม. ทำให้ระยะเวลาการเดินทางจากต้นทางกรุงเทพฯ ไปปลายทางลดลง ประหยัดเชื้อเพลิงค่อนข้างสูง​ ต้นทุนลดลง” อนันต์ กล่าว

สำหรับแผนการลงทุนในปี 2567 นั้น อนันต์ กล่าวว่า แผนลงทุนหลักๆ ของปีหน้า​แบ่งเป็น 2 กลุ่ม​ คือ​ ทางคู่เฟส 2 จะเป็นกลุ่มปรับขยายจากหนองคาย จากขอนแก่นขึ้นไปหนองคาย ซึ่งเส้นทางนี้ต้องรีบดำเนินการเนื่องจากเป็นเส้นทางสายใหม่ การก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ รวมถึงการแก้ปัญหาคอขวดระหว่างปากน้ำโพไปเด่นชัย​ นอกจากนี้ต้องเร่งสร้างทางคู่ในส่วนของอีสานตอนใต้ คือ เชื่อมตั้งแต่นครราชสีมา​ บุรีรัมย์​ ศรีสะเกษ เพื่อต่อไปที่อุบลราชธานี​ ถือเป็นทางเดี่ยว​ ส่วนทางใต้ก็ได้มาครึ่งทาง ก็คงจะลงไปที่ทุ่งสง ซึ่งหลังจากที่ล่าสุดเราประชุมกับรถไฟมาเลเซียก็มีความเป็นไปได้ รถไฟมาเลเซียก็ให้ความสนใจที่จะใช้โครงข่ายรางของเราในการขนส่งสินค้าระหว่างมาเลเซียผ่านไทยเข้าไปลาวและออกไปจีน​

นอกจากนี้ รฟท.กำลังมองที่จะขยายธุรกิจไปในกลุ่มของการขนส่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการจับมือกับพันธมิตรบริษัทขนส่งสินค้า หรือกลุ่มโลจิสติกส์ โดยมีแนวคิดจะทำระบบรางให้เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม ซึ่งต้นปีหน้าจะได้เห็นโปรดักต์ที่เราจะทำเรื่องวัสดุหีบห่อ โดย รฟท.จะมีการบริหารจัดการ จัดส่งวัสดุหีบห่อทางรถไฟผ่านแอปพลิเคชัน​ มั่นใจ รฟท.สามารถบริหารจัดการได้ง่าย​และไม่ต้องลงทุน​ เรามีไปรษณีย์ไทยอยู่หัว​ ท้าย​เรามีแกร็บ​ จะสามารถขยายได้​ ปีหน้าจะมีโปรดักต์เหล่านี้ซึ่งกำลังดำเนินการ เรียกว่า เอสอาร์ทีเอ็กซ์เพลส ซึ่งได้เริ่มทดลองแล้วในเส้นทางภาคใต้

อนันต์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าการพัฒนาระบบรางทั้งรถไฟความเร็วสูง ระบบทางคู่ รวมถึงการหารายได้จากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์นั้นยังไม่สามารถล้างหนี้ได้ เนื่องจาก รฟท.มีหนี้ค่อนข้างเยอะ​ ติดลบประมาณปีละเกือบหมื่นล้าน แก้หนี้ 2 แสนล้านบาทนั้นคงเป็นเรื่องยาก แต่การพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงสองเส้นทางเป็นจุดหนึ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่พัฒนาในพื้นที่ของ รฟท.คนเดียว แต่พื้นที่รอบข้าง หน่วยงานรอบข้างก็จะได้ประโยชน์จากจุดนั้น รวมถึงต้องมองบริบทของการขยายรถไฟความเร็วสูงต่อจากโคราช​ไปหนองคายเพื่อต่อกับจีนด้วย ตอนนี้คงไม่ได้มองบริบทเดียวในการขนส่งผู้โดยสาร บริบทของการเริ่มที่จะมาสนับสนุนขนส่งสินค้าต้องมีบทบาทเพิ่มมากยิ่งขึ้น เราก็พยายามผลักดันเรื่องนี้เพื่อเสนอแผนให้กระทรวงคมนาคมพิจารณา

ตอนนี้ระบบรางเองทั้งประเทศเรามีส่วนร่วมในมาร์เก็ตอยู่ไม่เกิน 2% ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ถนน สิ่งที่จะตามมาคืออุบัติเหตุ​ จำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนของเราเป็นอันดับหนึ่งของโลก เพราะเราใช้ระบบรางน้อย​ สิ่งที่ดำเนินการมาทั้งหมดเราคาดหวังว่าเราจะเข้ามาเสริมตรงนี้ให้เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการเดินทางมากยิ่งขึ้น​ เรื่องของโปรดักต์ใหม่ๆ ต้องดำเนินการ​ ระยะเวลาการเซอร์วิสที่จะดีมากๆ ยิ่งขึ้นกับแผนโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลได้ลงทุนให้

ดังนั้น รฟท.มีแผนที่จะขยายขอบเขตการขนส่งสินค้า​ ประกอบกับ กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ มีการพัฒนาร่วมกับเอกชนในการกำหนดแผน​ เพื่อพิจารณาร่วมกันในการเดินเส้นทางรถไฟต่อ​ไปในพื้นที่อุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยรัฐบาลได้เตรียมแผนเอาไว้ซึ่งใกล้เคียงกับแผนของการรถไฟฯ หากแผนเหล่านี้ได้รับการอนุมัติจะเพิ่มทางรถไฟไปอีกไม่กี่กิโล ก็สามารถเชื่อมโยงกับทางรถไฟหลักของ รฟท.ได้​ และจะเห็นโอเปอเรเตอร์หรือเอกชนที่มีศักยภาพอยู่มาใช้ระบบรางมากยิ่งขึ้น​ อันนี้คือเป้าหมายสูงสุดของ รฟท.ที่จะทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนไป​สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'มท.2' ควงอธิบดีที่ดิน ลงพื้นที่เขากระโดง พิสูจน์ปมพิพาทกับ รฟท.

'มท.2' ควงอธิบดีกรมที่ดิน ลงพื้นที่เขากระโดง พิสูจน์ปมพิพาทที่ดิน รฟท. ชาวบ้าน 2 ตำบล โชว์เอกสารสิทธินส.3 หลักฐานยันอาศัยอยู่ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เรียกร้องความยุติธรรม

บอร์ด รฟท. เคาะจัดซื้อรถโดยสาร 182 คัน ปักหมุดใช้ล็อตแรกพ.ค.71

บอร์ด รฟท. เคาะจัดซื้อรถโดยสาร 182 ตู้ 14 ขบวน 1.05 หมื่นล้าน อัพเกรดชั้น 3 ติดแอร์ขบวนแรกในไทย หวังนำมาวิ่งทดแทนรถเก่าใช้งานมากว่า 50 ปี วิ่งให้บริการ 5 เส้นทาง ชี้เป็นรถชั้น 3 แอร์ชุดแรก เล็ง เสนอ ครม. ขอกู้เงิน มี.ค.ปีหน้า ปักธงรับมอบขบวนรถล็อต 2 ขบวน พ.ค.71  

เช็กด่วน น้ำท่วมภาคใต้ รฟท.แจ้งยกเลิกปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ

น้ำท่วมภาคใต้ ‘การรถไฟฯ’  ประกาศงดเดินขบวนรถ และปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง – ปลายทาง ในเส้นทางนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 67 เป็นต้นไป

'อนุทิน' ส่ง 'มท.2-อธิบดีกรมที่ดิน' แจงปมเขากระโดง​

'อนุทิน'ส่ง 'มท.2-​ อธิบดีกรมที่ดิน' แจงปมเขากระโดง​ 'ทรงศักดิ์' ขอบคุณ กมธ.ที่ดิน​ให้โอกาสแจง ​ โอด​สงสารชาวบ้าน​กว่า​ 900 รายได้รับผลกระทบ​ ​'พูนศักดิ์'​ ยันพิจารณา​ยึดข้อกฎหมายไม่โยงการเมือง

'สุริยะ' ย้ำที่เขากระโดงเป็นของรฟท. ส่วนที่ดินอัลไพน์ ยันไม่ผิดกฎหมาย

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าภายหลังการรถไฟ