กกร.ร่อนหนังสือถึงนายก หวังดูแลราคาค่าไฟงวดสุดท้าย ชี้ปัจจัยพิจารณาปรับลดค่าเอฟที

14 ก.ค. 2566 – นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย หรือกกร. ได้ส่งหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ถึงแนวทางการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่าเอฟทีที่เรียกเก็บค่าไฟฟ้า งวดที่ 3 ในรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 66 แล้ว โดย กกร.เห็นว่า ค่าไฟงวดใหม่ ไม่ควรเกินหน่วยละ 4.25 บาท จากงวดปัจจุบัน (พ.ค. – ส.ค.) อยู่ที่หน่วยละ 4.70 บาท

“กกร. มีความกังวลต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนและผู้ประกอบการที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ที่จะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ซึ่งหากพิจารณาจากปัจจัยที่นำมาคำนวณค่าเอฟที แล้ว พบว่ามีหลายประเด็นสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถพิจารณาปรับลดค่าเอฟที ในงวดที่ 3 ได้” นายอิศเรศ  กล่าว

โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.ปริมาณก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะจากแหล่งเอราวัณที่เพิ่มปริมาณจาก 200 ล้านลูกบากศ์ฟุต(ลบ.ฟ.)/วัน เป็น 400 ลบ.ฟ./วัน ในเดือน ก.ค. 2566 และมีแผนที่จะเพิ่มเป็น 600 ลบ.ฟ./วัน ภายในเดือน ธ.ค. 2566 ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการนำเข้า LNG ได้  2. ปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ลดลงเหลือ 41% จากเดิมที่มีการนำเข้า LNG มาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าที่ 47%  3. ราคา LNG Spot ที่นำเข้ามาผลิตไฟฟ้าลดลงประมาณ 30% จากงวดที่ 2 ในเดือน พ.ค. – ส.ค. ที่ราคาประมาณ 20 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู มาอยู่ที่ประมาณ 14 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู

4. ราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลทำให้ความต้องการใช้พลังงานลดลง และ 5. ภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ลดลงเร็วกว่าแผนด้วยต้นทุนจริงของ LNG ที่ต่ำกว่าที่เรียกเก็บค่าเอฟที ทั้ง 2 งวดที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในระดับ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันต้นทุนค่าไฟฟ้าในช่วงนี้ แต่จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ด้านการเงินมองว่าจะเป็นการอ่อนค่าในระยะสั้นและจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นภายในปลายปีนี้ 

ทั้งนี้ กกร. ในฐานะผู้แทนภาคเอกชน เห็นว่า การที่อัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทยยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน รวมทั้งกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน กกร. จึงขอนำเสนอข้อเสนอแนวทางการปรับอัตราค่าเอฟที งวดที่ 3 ในรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 ดังนี้ 1. ขอให้พิจารณาขยายเวลาการคืนหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จาก 5 งวด เป็น 6 งวด เพื่อให้ค่าเอฟทีลดลงอีก 10 สตางค์/หน่วย ซึ่ง กฟผ. จะได้รับเงินคืนครบภายในเดือน ส.ค. 2568

2. ขอให้มีการบูรณาการในการจัดหาเชื้อเพลิง LNG โดยมอบหมายผู้นำเข้าหลักเพียงรายเดียวในการจัดหา เพื่อเป็นการสกัดดีมานด์เทียมจากผู้ส่งสินค้า หลายรายที่เข้ามาจัดหาในตลาด สำหรับนำมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในงวดที่ 3 เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมตามกลไกตลาดและไม่ให้ประเทศเสียเปรียบ โดยจัดหา LNG ล่วงหน้า ในราคาเฉลี่ยที่ 14 – 16 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ซึ่งหากเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ราคา LNG ก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการใช้พลังงานในโลกที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม กกร. จึงต้องการให้รัฐบาลสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันในการนำข้อเสนอดังกล่าวของ กกร. ไปขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ในการแบ่งเบาภาระค่าไฟฟ้าในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังคงถูกกดดันจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือน รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและกดดันเศรษฐกิจไทย

เพิ่มเพื่อน