คลังปลื้ม 'ฟิทช์' คงเครดิตเรตติ้งไทยชมเปาะเศรษฐกิจฟื้นต่อเนื่อง

คลังปลื้ม “ฟิทช์” คงเรตติ้งประเทศ ชี้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง เคาะจีดีพีปีนี้โตแจ่ม 3.7% ปี 2567 โตเพิ่มแตะ 3.8% มองท่องเที่ยว-บริโภคเอกชนช่วยหนุน ชมเปาะภาคการคลังปึ๊ก ขาดดุลการคลังลดต่อเนื่อง สะท้อนรายได้ภาษีแข็งแกร่ง-หมดมาตรการดูแลโควิด-19

11 ก.ค. 66 – นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า บริษัท ฟิทช์ เรตติ้ง ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดย ฟิทช์ คาดว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่ระดับ 3.7% และ ปี 2567 ที่ระดับ3.8%

โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และคาดว่าปี 2566 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 29 ล้านคน จาก 11.2 ล้านคน ในปี 2565 ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการสนับสนุนต่าง ๆ และมีสัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพีลดลง
ขณะที่ การส่งออกสินค้าและบริการคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการลดลงหรือชะลอตัวของอุปสงค์และเศรษฐกิจโลก และการใช้นโยบายการเงินแบบหดตัวของประเทศที่พัฒนาแล้ว (Advanced Economies)

สำหรับภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ฟิทช์ คาดว่า ในปี 2566 การขาดดุลการคลังของไทยจะลดลงอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 3.4% และคาดว่าปี 2567 จะขาดดุลที่ 3.2% ซึ่งการขาดดุลที่ลดลงสะท้อนถึงรายได้ภาษีที่แข็งแกร่งขึ้นและการสิ้นสุดของมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19

“ภายในปี 2567 คาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อจีดีพี (General Government Debt to GDP) จะเพิ่มขึ้นเป็น 55.9% แต่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Peers) และจะทยอยลดลงเนื่องจากมีการปรับภาวะทางการคลังให้เข้าสู่สมดุล (Fiscal Consolidation) นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังคงสามารถระดมทุนในประเทศได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ ส่งผลให้ หนี้สาธารณะคงค้างส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาทและมีอายุคงเหลือที่ค่อนข้างยาว จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านการคลัง”

ทั้งนี้ ในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น แม้ต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการเงินโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยฟิทช์ คาดว่า ปี 2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่2.0% ของจีดีพี และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% ในปี 2567 เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์ราคาน้ำมันที่คลี่คลาย อีกทั้งปี 2566 คาดว่าประเทศไทยจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก คือ 7.3 เดือน ขณะที่คาดว่า BBB Peers และ A Peers จะมีค่ากลางอยู่ที่ 4.2 เดือน
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฟิทช์ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ การลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อจีดีพี การลดการขาดดุลตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีศักยภาพในระยะปานกลาง ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ฟิทช์มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ คือ การไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและส่งผลต่อการเติบโตหรือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญต่อการปรับมุมมองในระยะปานกลาง (Medium-term growth outlook) คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่จะส่งผลต่อแผนการปรับภาวะทางการคลังให้เข้าสู่สมดุล (Fiscal Consolidation)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'บัญชีกลาง' เตือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ข้อมูลหลอกลวงผู้รับบำนาญ

นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางยังคงได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้รับบำนาญและประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ว่ามีมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อกรมบัญชีกลาง ชื่อผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ หลอกลวงว่ามีเงินที่ค้างรับจากกรมบัญชีกลางและให้ดำเนินการตามที่มิจฉาชีพแจ้ง