กกร. ห่วงเศรษฐกิจโลกชะลอ หั่นเป้าส่งออกปี 66 ติดลบ 2%

5 ก.ค. 2566 – นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมประเมินประมาณการณ์มูลค่าการส่งออกปี 2566 จะหดตัวมากขึ้นในกรอบติดลบ 2-0% จากเดิมประเมินไว้ติดลบ 1-0% เนื่องจากภาคการผลิตยังคงหดตัวต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เช่นเดียวกับภาคบริการเริ่มเห็นสัญญาณชะลอลงในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักทั้งสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น

“การส่งออกที่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก ซึ่งภาครัฐควรเร่งสนับสนุนการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ในประเทศที่ยังขยายตัวได้ เช่น จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพื่อทดแทนการส่งออกในประเทศหลัก โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรปที่อ่อนแอลง รวมทั้งเร่งผลักดันการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) เพื่อเปิดตลาดใหม่และเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันให้กับผู้ส่งออกไทย” นายผยง กล่าว

นอกจากนี้ ธนาคารกลางของประเทศหลักฝั่งตะวันตกมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในช่วงครึ่งปีหลัง ภาวะการเงินตึงตัวจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ยิ่งกดดันภาคธุรกิจและจำกัดการใช้จ่าย นำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอลงเช่นกัน เห็นได้จากการปรับลดประมาณการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนลงสู่ระดับ 5.4-5.5% จากเดิม 6% ปัจจัยเหล่านี้อาจฉุดการเติบโตของภาคการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า ขณะที่ค่าเงินบาทคาดว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าชั่วคราวและจะกลับมาทยอยแข็งค่าได้ในช่วงที่เหลือของปี ด้วยทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่เป็นขาขึ้นและปัจจัยความไม่แน่นอนในประเทศที่คลี่คลายลง

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปประมาณการณ์จะอยู่ในกรอบ 2.2-2.7% ต่ำลงจากเดิมประเมินไว้ที่ 2.7-3.2% ตามทิศทางราคาพลังงาน แม้ยังมีความเสี่ยงจากภัยแล้ง (เอลนีโญ) และหากมีการปรับค่าแรงขึ้นก็ตาม ส่วนการบริโภคภาคเอกชนถูกกดดันจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนในระดับสูงที่ 90.6% ต่อจีดีพี ทำให้ผู้บริโภคมีข้อจำกัดและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น กกร.จึงยังคงประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตประมาณ 3-3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว จากภาคการท่องเที่ยวดีขึ้นต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเข้ามากถึง 29-30 ล้านคนและรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น ที่ประชุมมองว่าตลาดการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักตัวเดียวในการขับเคลื่อนประเทศตอนนี้ โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่มีการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการเร่งเพิ่มประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการออกหนังสือเดินทาง และรวมถึงการดูแลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

เพิ่มเพื่อน