สรท. ยืนเป้าหมายส่งออกปี 66 หดตัว 0.5% ถึงโต 1%

4 กรกฎาคม 2566 – นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แถลงข่าวร่วมกับ นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน และนายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร ระบุว่าภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤษภาคม 2566 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 24,340.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 4.6% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 830,448 ล้านบาท หดตัว 2.8% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนพฤษภาคมหดตัว 1.4%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 26,190.2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 3.4% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 904,563 ล้านบาท หดตัว 1.7% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม 2566 ขาดดุลเท่ากับ 1,849.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 74,115 ล้านบาท

ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม – พฤษภาคมของปี 2566 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 116,344.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 5.1% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 3,941,426 ล้านบาท หดตัว 2.4% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงมกราคม – พฤษภาคม หดตัว 2.1%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 122,709.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 2.5% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 4,210,326 ล้านบาท ขยายตัว 0.2% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2566 ขาดดุลเท่ากับ 6,365.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 268,901 ล้านบาท

ทั้งนี้สรท. คงคาดการณ์เป้าหมายการทำงานด้านการส่งออกรวมทั้งปี 2566 ระหว่าง -0.5% ถึง 1% (ณ เดือนมิถุนายน 2566) โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2566 ได้แก่ 1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักยังคงมีความไม่แน่นอนสูง อาทิ จีน หลังจากการเปิดประเทศของจีนเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ สหรัฐฯ ดัชนีภาคการผลิต (PMI) ลดต่ำลงอยู่ที่ 46.3 และยุโรป ณ ระดับ 43.6 2) อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และภาระต้นทุนการกู้เงินของผู้ประกอบการ 3) ต้นทุนการผลิตยังคงสูง อาทิ ค่าไฟฟ้า วัตถุดิบการผลิต ส่งผลต่อความสามารถทางด้านการแข่งขันของไทย 4) ความเสี่ยงจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง (El Nino) ต่อภาคการเกษตรในประเทศ

พร้อมกันนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญประกอบด้วย 1) เร่งกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนแผนการส่งออกอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ 2) ขอให้ภาครัฐเร่งลดต้นทุนภาคการผลิต ที่ปรับสูงขึ้นและอาจเสียเปรียบคู่ค้าคู่แข่งที่สำคัญ อาทิ ค่าไฟฟ้า ค่าแรง และอัตราดอกเบี้ย 3) เร่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการในโซ่อุปทาน (Supply Chains Financing) โดยเฉพาะ SMEs 4) เร่งเพิ่มทักษะและสมรรถนะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กรมพัฒนาธุรกิจฯ เผยธุรกิจตั้งใหม่ปี 66 สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ต่างชาติขนเงินเข้าไทย 1.3 แสนล้าน

นักลงทุนไทยแห่จัดตั้งธุรกิจใหม่ ทะลุ 8.5 หมื่นราย ทุนจดทะเบียนรวมกว่า 5.6 แสนล้านบาท ขณะที่ต่างชาติหอบเงินลงทุนเข้าไทย แตะ 1.3 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นนำโด่งเบอร์ 1คาด!! ปี 2567 เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง ปัจจัยบวกสนับสนุนให้ไทย-เทศเดินหน้าลงทุนเพิ่ม

กสิกรไทย แจ้งผลประกอบการ ปี 66 โกยกำไร 42,405 ล้านบาท

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงขยายตัวในลักษณะไม่ทั่วถึง (K-Shaped Recovery) โดยการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในส่วนอื่นยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับขึ้นของต้นทุน

ตัวเลขสวย ปี 66 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 28 ล้านคน

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถิติจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว

ปัญหาเศรษฐกิจ - ภัยไซเบอร์ เป็นเรื่องที่ประชาชนเหนื่อยหน่ายมากที่สุดในปี 2566

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “เหนื่อยหน่ายกับอะไรบ้าง ในปี 2566 ที่ผ่านมา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 12-20 ธันวาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

รถอีวีหนุนธุรกิจประกันวินาศภัยโต 5% คาดปีหน้าเบี้ยทะลุ 3 แสนล้าน

สมาคมประกันวินาศภัยไทย แถลงผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย รวม 3 ไตรมาส (มกราคม-กันยายน) ของปี 2566 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 210,141 ล้านบาท เติบโตรวม 5.2% โดยประมาณการทั้งปี 2566 คาดว่าจะเติบโต 4.0%-5.0% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 285,080-287,800 ล้านบาท และคาดการณ์แนวโน้มปี 2567 จะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 301,050-303,900 ล้านบาท เติบโต 5.0%-6.0% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการประกันภัยรถไฟฟ้า (EV) การประกันภัยสุขภาพ และการประกันภัยการเดินทางที่มีผลมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว