สนค. แนะเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทุกมิติ อาทิ การพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การดึงดูดการลงทุน การส่งเสริมการส่งออกรวมถึงการกระจายตลาด และการเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน หลัง IMD ประกาศผลการจัดอันดับปี 2566 ไทยอยู่อันดับที่ 30 ขยับเพิ่ม 3 อันดับ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจขยับเพิ่มทุกปัจจัยย่อย ท่ามกลางความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคและประเด็นภูมิรัฐศาสตร์
28 มิ.ย. 2566 – นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า IMD World Competitiveness Center ได้ทำการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2566 พบว่า ผลในการจัดอันดับในปีนี้ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกันที่เรียกว่า “Polycrisis” ประกอบด้วย (1) ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (2) อัตราเงินเฟ้อ (3) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และ (4) ความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งวิกฤตเหล่านี้มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศในระดับที่แตกต่างกันไป โดยทำให้บางประเทศเลื่อนอันดับดีขึ้น ขณะที่อันดับของบางประเทศเลื่อนลง นอกจากนี้ยังระบุข้อมูลเพิ่มเติมว่า เขตเศรษฐกิจที่มีการเปิดประเทศเร็วหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันมีเศรษฐกิจเติบโตชะลอลง ขณะที่เขตเศรษฐกิจที่เพิ่งเปิดประเทศภายหลัง จะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน
ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งสิ้น 64 เขตเศรษฐกิจ พบว่า เขตเศรษฐกิจที่ถูกจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันใน 3 อันดับแรก ได้แก่ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ โดย IMD ให้ข้อมูลว่า เขตเศรษฐกิจที่อยู่อันดับต้นของโลกส่วนใหญ่เป็นเขตเศรษฐกิจขนาดเล็ก ที่ใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดและคู่ค้า มีความสามารถในการปรับตัว และสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ทันท่วงที ขณะที่ ขีดความสามารถในการแข่งขันของเขตเศรษฐกิจสำคัญในเอเชีย อาทิ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย เลื่อนลง 7 1 1 และ 3 อันดับจากปีก่อนหน้า มาอยู่อันดับที่ 21 28 35 และ 40 ตามลำดับ
ไทยอยู่ในอันดับที่ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจ เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีก่อนหน้า และเมื่อเปรียบเทียบ ขีดความสามารถในการแข่งขันภายในภูมิภาคอาเซียน (จำนวน 5 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) พบว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 โดยอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มประเทศอาเซียนดังกล่าวของไทยไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2565 โดยขีดความสามารถในการแข่งขันประกอบด้วยปัจจัยหลัก 4 ด้าน ได้แก่ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอันดับของไทยดีขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่เลื่อนขึ้นถึง 18 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 16 ขณะที่ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนขึ้น 7 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 24 ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนขึ้น 7 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 23 และโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนขึ้น 1 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 43
เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยย่อยของแต่ละด้าน มีรายละเอียด ดังนี้ (1) ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ดีขึ้นในทุกปัจจัยย่อย โดยการลงทุนระหว่างประเทศ เลื่อนขึ้น 11 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 22 และการค้าระหว่างประเทศ เลื่อนขึ้น 8 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 29 เศรษฐกิจภายในประเทศ เลื่อนขึ้น 7 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 44 ระดับราคาและค่าครองชีพ เลื่อนขึ้น 4 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 27 และการจ้างงาน เลื่อนขึ้น 1 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 3 (2) ประสิทธิภาพของภาครัฐ ดีขึ้นจากปัจจัยย่อยด้านกรอบการบริหารภาครัฐ และกฎหมายธุรกิจ โดยทั้งสองปัจจัยย่อยเลื่อนขึ้น 7 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 34 และ 31 ตามลำดับ (3) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ดีขึ้นจากปัจจัยย่อยด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพ เลื่อนขึ้น 9 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 38 และ (4) โครงสร้างพื้นฐาน ดีขึ้นจากปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างเทคโนโลยี เลื่อนขึ้น 9 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 25
IMD ระบุเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 ไทยจะเผชิญกับความท้าทาย อาทิ การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพและการเติบโตที่ไม่สมดุล ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งทั่วไป ความเสี่ยงจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ ความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ และการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ในฐานะองค์กรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของประเทศ ได้ดำเนินการในด้านต่าง ๆ ทั้งการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ การร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมการส่งออก โดยในปี 2565 การส่งออกไทยขยายตัวที่ร้อยละ 5.5 แม้ว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 จะหดตัวที่ร้อยละ 5.1 จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของประเทศคู่ค้า แต่ไทยยังทำได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่การส่งออกหดตัวรุนแรงมากกว่า รวมถึงการเร่งลดภาระด้านค่าครองชีพให้กับผู้บริโภคชาวไทยผ่านมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่มีส่วนสำคัญทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงสู่ระดับร้อยละ 2.96 ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 จากที่เพิ่มสูงในปี 2565 จนแตะระดับร้อยละ 6.08 เนื่องจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นจากวิกฤตความขัดแย้งในยูเครน
นายพูนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยกดดันภายนอกประเทศดังที่ IMD ระบุไว้ รวมถึงปัญหาภาคการธนาคารของชาติตะวันตกที่เพิ่มแรงกดดันต่อความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยในหลายประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยไทยมีการส่งออกเป็นเครื่องจักรสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ไทยจึงควรเร่งเดินหน้าพัฒนา ขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในทุกมิติ อาทิ การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การพัฒนามาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดรับกับความต้องการของนักลงทุนในสาขาที่เป็นเป้าหมายของไทย การส่งเสริมการส่งออกเชิงรุกรวมถึง
การกระจายตลาดมากขึ้น และการอัพสกิล/รีสกิลเพื่อเพิ่มทักษะและคุณภาพของแรงงาน เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศให้สามารถรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และช่วงชิงประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยเฉพาะการที่โลกเข้าสู่ภาวะการกระจายตัวทางภูมิเศรษฐกิจ (Geo-economic Fragmentation) จากการที่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรต่างต้องการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของจีนมากเกินไป (De-risk) ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนภูมิทัศน์ของห่วงโซ่อุปทานโลกทั้งมิติด้านการผลิต การค้า และการลงทุน ซึ่งจะเป็นโอกาสในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงไทย ที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มการย้ายการลงทุนเข้ามาต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีความแข็งแกร่ง และขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พาณิชย์กางแผนปั้นร้านอาหาร Thai SELECT ชูกระตุ้นศก. 230 ล้านบาท
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยแผนการโครงการ Thai SELECT ปี 2568 มุ่งเน้นปรับภาพลักษณ์ของตราสัญลักษณ์ Thai SELECT สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานของร้านอาหารไทยให้แก่ผู้บริโภคจากทั่วโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างโอกาสทางการตลาดและเชื่อมโยงร้านอาหารกับการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดแคมเปญและหลักสูตรอบรมเพื่อยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักชิมจากทั่วทุกมุมโลก คาดจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ร้านอาหาร Thai SELECT เพิ่มขึ้นจาก ปี 67 ถึง 15% หรือคิดเป็น 230 ล้านบาท
‘พิชัย’ ถกหอการค้าอเมริกันตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้า การลงทุน
“พิชัย” หารือหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้า การลงทุน หนุน ศก.ไทยเติบโต เตรียมเดินทางสหรัฐฯ ต้นกุมภาฯ เจรจาไม่ให้มีการขึ้นภาษีกับสินค้าส่งออกจากไทย
พาณิชย์เผยดัชนีค่าขนส่งสินค้าทางถนน Q4 ขยับขึ้น
ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนไตรมาสที่ 4 และเฉลี่ยทั้งปี 2567 ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยขณะที่อุทกภัยกระทบต่อธุรกิจการขนส่งสินค้าทางถนนไม่มาก
“พาณิชย์” รับลูก นายกฯ “ดูแลประชาชน” ลุยตรวจ ”ปั๊มน้ำมัน -ขนส่ง-สนามบิน“ ย้ำ ขอให้ประชาชนมั่นใจ เดินทางราบรื่นช่วงปีใหม่
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบเข้มสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ ครอบคลุมทุกการเดินทางของประชาชน ทั้งการตรวจสอบมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ได้น้ำมันเต็มลิตร-เน้นย้ำผู้ประกอบการตามสถานีขนส่งปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน-