กรมการค้าต่างประเทศเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 การส่งออกไทยโดยรวมยังคงมีการใช้สิทธิฯ อย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่ารวม 11,819.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับตลาดอาเซียนยังครองแชมป์อันดับ 1 ตามติดมาด้วยอาเซียน-จีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-ออสเตรเลีย อาเซียน-อินเดีย และภายใต้ กรอบ RCEP มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 195.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
3 พ.ค. 2566 – นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 จำนวน 12 ฉบับ มีมูลค่ารวม 11,819.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึง 74.52% ถึงแม้การใช้สิทธิฯ ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 จะได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงและเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่ผู้ประกอบการไทยยังคงสามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการค้าด้วยการใช้สิทธิ FTA ส่งออกสินค้าต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการส่งออกได้เป็นอย่างดี ประกอบกับความต้องการซื้อสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เริ่มเปิดประเทศหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย
ทั้งนี้สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงจากหลายกรอบความตกลงฯ ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน และน้ำตาล (กรอบอาเซียน) ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง และทุเรียนสด (กรอบอาเซียน-จีน) รถยนต์และยานยนต์อื่นๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) และรถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด 2,500 cc ขึ้นไป (กรอบไทย-ออสเตรเลีย) เป็นต้น กรอบความตกลง FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (มูลค่า 4,685.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 72.86% โดยเป็นการใช้สิทธิส่งออกไปอินโดนีเซียสูงสุด มูลค่า 1,338.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มาเลเซีย มูลค่า 1,163.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เวียดนาม มูลค่า 999.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 735.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (น้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน) น้ำตาล รถยนต์เพื่อขนส่งบุคคล (1,500 – 3,000 cc) และน้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัสอื่นๆ เป็นต้น
อันดับ 2 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) (มูลค่า 2,860.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 86.53% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง ทุเรียนสด สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง ผลไม้สด (ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ ฯลฯ) เป็นต้น
อันดับ 3 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) (มูลค่า 1,070 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 79.21% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง เนื้อไก่แช่เย็นจนแข็ง เดกซ์ทรินและโมดิไฟด์สตาร์ช กุ้งปรุงแต่ง กระสอบและถุงทำด้วยโพลิเมอร์ของเอทิลีน เป็นต้น
อันดับ 4 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) (มูลค่า 941.92 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 67.60% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ รถยนต์และยานยนต์อื่นๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) รถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด 2,500 cc ขึ้นไปและขนาด 1,000 – 1,500 cc ปลาทูน่าปรุงแต่ง และส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
อันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) (มูลค่า 821.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 66.61% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ลวดทองแดง สารประกอบออร์แกโน-อินออร์แกนิก โพลิเมอร์ของไวนิลคลอไรด์หรือของฮาโลเจเนเต็ดโอลีฟิน ในลักษณะขั้นปฐมอื่นๆ และฟอยล์อะลูมิเนียมมีความหนาไม่เกิน 0.2 มิลลิเมตร เป็นต้น
นอกจากการใช้สิทธิฯ จากความตกลงข้างต้นแล้ว ยังมีการใช้สิทธิฯ ตามกรอบความตกลงอื่นๆ อีก ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA) (มูลค่า 547.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 61.44% และความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ส่งออกไปออสเตรเลีย (มูลค่า 465.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 33.38%
สำหรับความตกลง RCEP ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 มีการส่งออกไปยัง 10 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา มีมูลค่าการใช้สิทธิฯรวม 195.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 452.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP อาทิ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลังเส้น หัวเทียน ฟล็อก ผงสิ่งทอ และมิลเน็ป เป็นต้น
หากผู้ประกอบการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือโทรสายด่วน 1385 รวมถึงไลน์แอปพลิเคชันชื่อบัญชี“@gsp_helper”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“สุชาติ” รมช. พาณิชย์ ยืนยันไม่ได้หายไปไหน เดินหน้าผลักดันส่งออก ชี้ ต้องการทำให้ FTA มีประโยชน์สูงสุด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า “ตนได้ทำงานในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์อย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาได้เดินหน้าทำงานต่อเนื่อง สร้างผลงานดันเจรจา FTA
'พิชัย' ประกาศความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟตา ชูไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ AI
“พิชัย” เปิดงาน GCNT Forum 2567 ประกาศความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟตา ดันเศรษฐกิจ เชื่อมั่น ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ PCB และ AI โลก หนุนสร้าง SME รุ่นใหม่ ส่งออกสินค้าทั่วโลก
'นายกฯอิ๊งค์' สวมผ้าไหมไทย ถก 'ปธน.เปรู' ผลักดัน FTA ให้เสร็จปี 68
นายกฯ สวมผ้าไหมไทยศูนย์ศิลปาชีพ ถก 'ประธานาธิบดีเปรู' ผลักดันการเจรจา FTA ให้เสร็จภายในปี 68 ปลี้ม Softpower หนังไทย เพลงไทย ฮิตในเปรู
ไทย-ตุรกี ชื่นมื่น รมช. สุชาติ จับมือ รมช. การค้าตุรกี ผลักดันเจรจา FTA ต่อ เพื่อสานสัมพันธ์การค้าการลงทุน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้พบหารือทวิภาคีกับนายมุสตาฟา ตุซคู (H.E. Mr. Mustafa Tuzcu) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าสาธารณรัฐตุรกี ในห้วงการเดินทางเยือนตุรกี เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการถาวรว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
‘สุชาติ’ ชื่นชมความคืบหน้าการเจรจา FTA ไทย-ภูฏาน ตั้งเป้าสำเร็จกลางปีหน้า
รมช. พณ. สุชาติ ชื่นชมการเจรจา FTA ไทย-ภูฏาน รอบที่ 2 คืบหน้ารวดเร็ว พร้อมมั่นใจว่าการเจรจาจะสามารถบรรลุผลสำเร็จภายในปี 2568 ตามเป้าหมาย เสริมโอกาสการค้าไทย-ภูฏาน และกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันในระยะยาว
“สุชาติ” ดันผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จาก FTA ช่วยขยายตลาดส่งออก พร้อมเน้นย้ำให้ดูแลราคาสินค้า ช่วยค่าครองชีพประชาชน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี พบหารือผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภค บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ติดตามสถานการณ์การค้า ชี้โอกาสขยายตลาดด้วยความตกลงการค้าเสรี (FTA) พร้อมเดินหน้าเจรจาประเทศ